
"...การลงคะแนนอย่างท่วมท้นครั้งนี้ถือว่าเป็นครั้งแรกที่ส.ส.ริพับลิกันเลือกไม่ทำตามที่ประธานาธิบดีฯ ต้องการ ทำให้เริ่มเห็นถึงกระแสประธานาธิบดีเป็ดง่อย (lame duck)ที่ไม่มีใครปฏิบัติตามคำสั่ง เนื่องจากจะมีการเลือกตั้งกลางเทอมในปลายปี 2569 บรรดาส.ส.จึงต้องยึดกระแสความต้องการของประชาชนเป็นหลัก และตัวนายทรัมป์เองก็จะดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยนี้เป็นสมัยสุดท้าย (ตามรัฐธรรมนูญกำหนด)..."
เมื่อวันที่ 21 พ.ย. 2568 นาง มาร์จอรี เทเลอร์ กรีน ส.ส.สายอนุรักษ์นิยมสุดโต่งจากมลรัฐจอร์เจียของพรรคริพับลิกันประกาศลาออกจากตำแหน่ง โดยจะมีผลวันที่ 5 ม.ค.2569
ข่าวความเคลื่อนไหวของนาง มาร์จอรี เทเลอร์ กรีน ซึ่งชื่อนี้ดูจะไม่เป็นที่รู้จักในเมืองไทยซักเท่าไหร่ แต่ในอเมริกาถือเป็นนักการเมืองขวาจัดที่เป็นดาวรุ่งของสภาสหรัฐฯ เพิ่งเข้าเป็นส.ส.ครั้งแรกเมื่อปี 2021 แต่ตลอด 5 ปีเต็มในสภาฯของเธอเต็มไปด้วยสีสันจากการสนับสนุนประธานาธิบดีทรัมป์และกระบวนการ MAGA (Make America Great Again)แบบสุดตัวไม่มีเกรงกลัวอะไรทั้งสิ้น
เมื่อแรกเป็น ส.ส.ใหม่ๆ เธอประท้วงประธานสภาฯ ที่ออกข้อกำหนดให้ทุกคนในสภาต้องสวมหน้ากากป้องกันโรค(ช่วงระบาดโควิด)โดยเปรียบเทียบว่าไม่ต่างจากคำสั่งของเผด็จการณ์นาซี พร้อมทั้งสนับสนุนความพยายามของทรัมป์ในการคว่ำผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2020 ซึ่งอ้างว่าเป็นการปล้นชัยชนะโดยพรรคเดโมเครต และเป็นกระบอกเสียงสำคัญในนโยบายสายอนุรักษณ์นิยมสุดขั้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องคัดค้านการทำแท้ง ต่อต้านสิทธิเท่าเทียมของเพศที่สาม (LGBTQ) คัดค้านการเปิดประตูรับผู้อพยพเข้าเมือง สิทธิในการครอบครองปืน
สิ่งเหล่านี้ทำให้เธอเป็นหนึ่งในนักการเมืองที่ได้รับความไว้วางใจจากประธานาธิบดีทรัมป์อย่างมาก
จนมาระยะ 6 เดือนหลังที่นาง มาร์จอรี กรีน เริ่มแสดงความเห็นที่ไม่ตรงกับแนวทางของรัฐบาลทรัมป์ เนื่องจากมองว่ารัฐบาลเริ่มเบี่ยงเบนจากอุดมการณ์ America First หรือ “อเมริกาต้องมาก่อน” โดยใส่ใจกับเรื่องการต่างประเทศมากกว่าปากท้องประชาชนในประเทศ ทำให้เสียทั้งเงินและเวลาไปกับการสนับสนุนอิสราเอลและปัญหาตะวันออกกลาง
ขณะที่ไม่ใส่ใจปัญหาสวัสดิการด้านสุขภาพ สวัสดิอาหารคนจนและเงินเดือนข้าราชการ ปล่อยให้เกิดภาวะรัฐบาลหยุดงาน (Government Shutdown)ยืดเยื้อกว่า 40 วัน
และจุดสำคัญที่นำมาสู่ความแตกหักกับประธานาธิบดีทรัมป์คือ กรณีการเรียกร้องให้เปิดเผยข้อมูลจากแฟ้มคดีนาย เจฟฟรีย์ เอปสตีน (Epstien’s files) อดีตนักโทษคดีค้ามนุษย/ผู้เยาว์ ที่เสียชีวิตในคุกเมื่อ 6 ปีที่แล้วและเคยเป็นเพื่อนสนิทของประธานาธิบดีทรัมป์
เดิมประธานาธิบดีฯ ประสงค์จะให้คดีจบไปแบบเงียบๆ แต่เนื่องจากแฟ้มคดีนี้มีข้อมูลเกี่ยวโยงกับบุคคลระดับสูงจำนวนมากรวมถึงตัวประธานาธิบดีเองด้วย ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศจึงเรียกร้องให้มีการเปิดเผยข้อมูลในแฟ้มคดีนี้
หนึ่งในหัวหอกสำคัญที่ร่วมเรียกร้องคือ นาง มาร์จอรี กรีน ทำให้นาย ทรัมป์ ไม่พอใจอย่างมากถึงกับเรียกนาง มาร์จอรี กรีน ว่าเป็น “คนทรยศ” รวมถึงประกาศว่าจะไม่สนับสนุนนาง มาร์จอรี กรีน เป็นตัวแทนพรรคลงสมัคร ตำแหน่งทางการเมืองใดๆ ไม่ว่าจะเป็น ส.ส. ส.ว. หรือผว.รัฐจอร์เจีย ในการเลือกตั้งครั้งหน้าด้วย
แม้ว่าสุดท้ายแล้วนาย ทรัมป์ จะเปลี่ยนท่าทีหันมาสนับสนุนให้มีการลงคะแนนเสียงในสภาฯ เพื่อให้เปิดเผยข้อความในแฟ้มคดีฯ แต่ก็เป็นเพราะคำนวณดูแล้วว่ายังไงก็คัดค้านเสียงเรียกร้องความโปร่งใสจากประชาชนไม่ได้และผลการลงคะแนนที่ออกมาถึง 427-1 เสียงให้เปิดเผยข้อมูลก็แสดงถึงว่า ห้วงเวลาของการบริหารปกครองที่คำสั่งทุกอย่างออกมาจากทำเนียบขาว บรรดาส.ส. และส.ว.เป็นเพียงผู้รับคำสั่งไปปฏิบัติ เริ่มการปรับเปลี่ยน ยิ่งเมื่อการเลือกตั้งกลางเทอม (พ.ย. 2569) ใกล้เข้ามาเท่าไหร่ นักการเมืองที่เลือกจะฟังเสียงจากฐานเสียงของตนมากกว่าคำสั่งจากทำเนียบขาวจะยิ่งมากขึ้นหรืออาจจะเกิดปรากฏการณ์การลาออกก่อนกำหนดเช่นเดียวกับนาง มาร์จอรี กรีน เป็นจำนวนมาก
การลงคะแนนอย่างท่วมท้นครั้งนี้ถือว่า เป็นครั้งแรกที่ส.ส.ริพับลิกันเลือกไม่ทำตามที่ประธานาธิบดีฯ ต้องการ ทำให้เริ่มเห็นถึงกระแสประธานาธิบดีเป็ดง่อย (lame duck)ที่ไม่มีใครปฏิบัติตามคำสั่ง เนื่องจากจะมีการเลือกตั้งกลางเทอมในปลายปี 2569 บรรดาส.ส.จึงต้องยึดกระแสความต้องการของประชาชนเป็นหลัก และตัวนายทรัมป์เองก็จะดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยนี้เป็นสมัยสุดท้าย (ตามรัฐธรรมนูญกำหนด)
นาย อีลอน มัสก์ (เจ้าของ Tesla, Space X)ผู้ที่เคยอยู่วงในสุดของทรัมป์ได้ออกความเห็นผ่านยูทูปว่า การลาออกของนาง มาร์จอรี กรีน ไม่ได้เป็นเพียงการลาออกของส.ส.ตามปรกติ แต่จะก่อให้เกิดจุดปริแยกภายในพรรคริพับลิกันที่ต้องเลือกทางเดินให้ชัดเจนว่า หลังจากที่ทรัมป์ครบเทอมแล้วการบริหารปกครองแบบที่ยึดความจงรักภักดี (loyalty)กับผู้นำเป็นสรณะจะต้องปรับเปลี่ยนไปทิศทางใด
และการที่ผู้ที่อยู่แถวหน้าของกระบวนการ MAGA (Make America Great Again) อย่างเช่นนาง มาร์จอรี กรีน ไม่สามารถอยู่กับพรรครีพับลิกันได้นั้นจะส่งผลอย่างไรต่อฐานเสียงใหญ่ของพรรคที่มาจากกลุ่มผู้สนับสนุน MAGA และพรรคจะทำอย่างไรต่อข้อกล่าวหาของนาง มาร์จอรี กรีน ที่กล่าวว่า การเมืองสหรัฐฯ ได้กลายมาเป็นอุตสากรรมการเมือง (Political Industrial Complex) อย่างเต็มตัว ผู้ได้รับเลือกตั้งเข้าไปไม่สามารถทำงานเพื่อประโยชน์ของประชาชนที่เลือกตนเองเข้ามา แต่ต้องคอยรับฟังเสียงจากผู้นำและสปอนเซอร์ของพรรคเท่านั้น
คำถามสำคัญที่เป็นโจทย์ใหญ่ของพรรคริพับลิกัน คืออุดมการณ์ America First ที่ต้องการดึงสหรัฐฯ ออกจากการมีปฏิสัมพันธ์ใกล้ชิดกับประชาคมโลกและนำไปสู่การปิดประเทศนั้นยังจะเป็นอุดมการณ์นำทางที่สามารถนำความผาสุขมาสู่ประชาชนในประเทศได้อย่างแท้จริงหรือไม่
บทความโดย :
เจษฎา กตเวทิน
26 พ.ย. 2568

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา