
"...ตัวอย่างของความพยายามในการเปลี่ยนตัวผู้นำเวเนซุเอล่าครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่า แม้แต่สหรัฐฯซึ่งมีอำนาจและกำลังพร้อมเพรียงยังไม่สามารถทำทุกอย่างได้ตามต้องการ เพราะเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน ต้องใช้เวลาเพื่อรอดูสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม และมีความสุ่มเสี่ยงต่อการทำผิดกฎหมายระหว่างประเทศ ดังนั้น ความแตกต่างและลักษณะพิเศษของสถานะการณ์เวเนซุเอล่าจึงไม่สามารถที่จะนำมาเทียบเคียงเพื่อวิเคราะห์สถานะการณ์ภายในของเขมรแต่อย่างใด..."
ในบริบทการเมืองระหว่างประเทศดั่งเดิมมีการใช้กำลังทหารรบกันเพื่อยึดดินแดนและเข้าปกครองโดยผู้ชนะ หลังจากนั้นเมื่อพบว่าการยึดครองอาจไม่จำเป็นต้องทำสงครามเต็มรูปแบบ เพียงแต่ข่มขู่ว่าจะใช้กำลังหรือการแทรกแซงในระบบการเมืองภายในเพื่อให้ได้มาซึ่งผู้นำชุดใหม่ที่เป็นพวกเดียวกับตนก็สามารถส่งผลลัพธ์ที่ต้องการเหมือนกัน แถมยังมีค่าใช้จ่ายและความเสียหายทางกายภาพน้อยกว่าและได้ความยอมรับระหว่างประเทศมากกว่า ดังนั้น แนวทางการปรับเปลี่ยนผู้นำจากอิทธิพลภายนอก (regime change) จึงได้รับความนิยมปฏิบัติกันต่อมาจนปัจจุบัน แม้ว่าจะมีรูปแบบที่ปรับเปลี่ยนให้ดูซับซ้อนมากขึ้น แต่โดยสาระแล้วถือว่าไม่เปลี่ยนแปลง
ในระยะหลังๆ เราจะเริ่มได้ยินการวิเคราะห์กันถึงความเป็นไปได้ในการปรับเปลี่ยนตัวผู้นำเขมร ซึ่งจะส่งผลให้สถานะการณ์ความไม่เป็นมิตรกับไทยปรับเปลี่ยนไป โดยมีการอ้างถึงนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯที่มีเป้าประสงค์ต่อการเปลี่ยนแปลงประธานาธิบดีมาดูโร ของเวเนซุเอล่า ที่ประกาศตัวเป็นปรปักษ์กับสหรัฐฯมาเป็นตัวอย่าง ทำนองว่าสถานะการณ์ในเขมรจะเกิดทำนองนี้ไม่ช้าก็เร็วเพราะมีประเทศใหญ่เป็นอิทธิพลภายนอกที่พร้อมสนับสนุน
เราจึงควรมาพิจารณาดูว่าจริงๆแล้วสถานะการณ์ของเวเนซุเอล่าเวลานี้จะสามารถให้บทเรียนอะไรที่น่าสนใจแก่เราได้บ้าง
เวเนซุเอล่าตั้งอยู่ทางเหนือของทวีปอเมริกาใต้ มีทะเลแคริเบียนเป็นหน้าด่านที่สำคัญ ทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญคือน้ำมันและเป็นประเทศที่มีปริมาณสำรองน้ำมันที่ยืนยันแล้วมากที่สุดในโลก มากกว่าซาอุดีอารเบีย อิหร่าน ยูเออี หรือรัสเซีย
ในช่วงทศวรรษที่ 70-90 เวเนซุเอล่ามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดและเป็นแหล่งน้ำมันดิบที่สำคัญที่สุดแหล่งหนึ่งของสหรัฐฯ จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในปี 1999 เมื่อนาย ฮูโก ชาเวส ผู้นำแนวความคิดสังคมนิยมขึ้นมาเป็นผู้นำและเริ่มการยึดกิจการต่างชาติ(โดยเฉพาะบริษัทน้ำมันสหรัฐฯ)มาเป็นของรัฐ ในทางการเมืองก็ยึดถือคิวบาเป็นต้นแบบแทบทุกอย่าง เวเนซูเอล่าจึงกลายเป็นหอกข้างแคร่ของสหรัฐฯ ควบคู่มากับคิวบาและประเทศละตินอเมริกาอีกหลายประเทศที่ภายหลังการล่มสลายของระบบเผด็จการณ์ก็ได้นักการเมืองสายสังคมนิยมขึ้นมาเป็นผู้นำ
ในปี 2002 สหรัฐฯ สนับสนุนการรัฐประหารในเวเนซุเอล่าสำเร็จ แต่นาย ชาเวส สามารถรวบรวมกำลังพลกลับมายึดอำนาจคืนได้ภายในเวลา 2 วัน
หลังจากนาย ฮูโก ชาเวส เสียชีวิตในปี 2013 นาย นิโคลัส มาดูโร รองประธานาธิบดี ขึ้นมาครองอำนาจแทนและสืบทอดนโยบายต่อต้านจักรวรรดินิยมสหรัฐฯอย่างเหนียวแน่น
ในปี 2015 สหรัฐฯ ได้ประกาศคว่ำบาตรการค้าอาวุธกับเวเนซุเอล่า ทำให้ต้องพึ่งพารัสเซียและจีนเป็นหลัก มีแต่เพียงการซื้อ-ขายน้ำมันที่ยังคงดำเนินกับสหรัฐฯไปอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ บริษัทเชฟรอนเป็นบริษัทน้ำมันอเมริกันแห่งเดียวที่รอดพ้นจากการยึดครองโดยรัฐและสามารถทำการขุดเจาะน้ำมันในเวเนซุเอล่าอยู่ได้จนปัจจุบัน
ในการเลือกต้้งประธานาธิบดีครั้งที่ 3 ของนาย มาดูโร เมื่อปี 2024 สหรัฐฯ อ้างว่าผลการเลือกตั้งนาย เอ็ดมันโด กอนซาเลส เป็นผู้ชนะอย่างชัดเจนแต่นาย มาดูโร ไม่สนใจการคัดค้านของสหรัฐฯ และประกาศตัวเป็นประธานาธิบดีอย่างเป็นทางการเมื่อต้นปี 2025 แม้ว่าสหรัฐฯจะคัดค้านและพยายามหาหนทางต่างๆ เพื่อส่งตัวนาย กอนซาเลส (ลี้ภัยในต่างประเทศ)ให้กลับไปยึดตำแหน่งแต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จ
สถานะการณ์ตึงเครียดรอบล่าสุดปะทุขึ้นในเดือนก.ย. 2025 เมื่อประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศยุทธการทางทหารเพื่อปราบผู้ก่อการร้ายด้านค้ายาเสพติด (narco terrorism) โดยมีการสั่งการให้ทหารเรือยิงเรือลักลอบขนส่งยาเสพติดในน่านน้ำระหว่างประเทศของทะเลแคริเบียนนอกทะเลอาณาเขตของเวเนซุเอล่า จนถึงปัจจุบันมีการจมเรือไปแล้วกว่า 20 ลำและมีผู้เสียชีวิตกว่า 80 คน ทั้งนี้ เป็นการทำในนามของการปราบปรามยาเสพติด แต่ไม่ปรากฏการแสดงหลักฐานใดๆ
ฝ่ายสหรัฐฯ มีการเพิ่มกำลังพลและเรือรบอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงกลางเดือนพ.ย.ที่ผ่านมามีการนำเรือบรรทุกเครื่องบิน USS Gerald R. Ford ซึ่งเป็นเรือบรรทุกเครื่องบินที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ พร้อมกองเรือรบคุ้มกันเต็มชุดเข้าประจำในน่านน้ำทะเลแคริเบียน โดยก่อนหน้านี้นาย ทรัมป์ ประกาศว่าได้มอบหมายให้ CIA เตรียมความพร้อมสำหรับปฏิบัติการทางบกไว้ด้วย รวมถึงการประกาศให้นาย มาดูโร มีฐานะเป็นหัวหน้าองค์กรก่อการร้ายต่างชาติด้วย (ไม่ชัดเจนว่าองค์กรดังกล่าวมีอยู่จริง) ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณว่าสหรัฐฯพร้อมที่จะส่งกำลังเข้ายึดอำนาจประธานาธิบดีมาดูโร และล่าสุดนาย ทรัมป์ ประกาศใน X ขอให้ให้สายการบินและผู้ที่เกี่ยวข้องพิจารณาว่าน่านฟ้าเวเนซุเอล่าและเขตใกล้เคียงปิดลงทั้งหมด ส่งผลให้สายการบินกว่าครึ่งระงับการบินเข้า-ออก กรุงคารากัส ซึ่งคำประกาศนี้นำมาสู่คำถามว่าสหรัฐฯ มีอำนาจหรือใช้กฎหมายอะไรในการประกาศปิดน่านฟ้าประเทศอื่น
ปรากฏในข่าวว่า เมื่อวันจันทร์ที่ 1 ธ.ค. นี้ มีการหารือทางโทรศัพท์ระหว่างสองผู้นำและประธานาธิบดีทรัมป์ได้ยื่นข้อเสนอให้ประธานาธิบดีมาดูโรลาออกจากตำแหน่งและเปิดโอกาสให้นาย กอนซาเลส ที่สหรัฐฯยืนยันว่าเป็นผู้ชนะการเลือกตั้งที่แท้จริงเข้ารับตำแหน่งแทน เพื่อเลี่ยงมาตรการทางทหารแบบเด็ดขาดจากฝ่ายสหรัฐฯ แต่ก็ยังไม่มีท่าทีตอบรับใดๆจากนาย มาดูโร
แม้ว่าสถานะการณ์มีความตึงเครียดสูงในขณะนี้ เนื่องจากมองกันว่าสหรัฐฯ พยายามสร้างเงื่อนไขและความพร้อมทางทหารเพื่อใช้กำลังยึดอำนาจและเปลี่ยนผู้นำในเวเนซุเอล่าไว้แล้ว แต่เป็นที่น่าสังเกตว่ายังไม่ปรากฏท่าทีคัดค้านใดๆ จากประชาคมโลก โดยเฉพาะจากรัสเซียและจีนซึ่งเป็นมิตรที่ดีกับเวเนซุเอล่า ซึ่งสะท้อนถึงการย้อนกลับไปสู่ระเบียบโลกยุคก่อนที่มีการจัดแบ่งเขตอิทธิพลของมหาอำนาจแต่ละประเทศ (Sphere of Influence) โดยสหรัฐฯ ดูแลอเมริกากลางและอเมริกาใต้ทั้งหมด ซึ่งการดำเนินการในรลักษณะนี้ของสหรัฐฯ ก็จะช่วยสร้างความชอบธรรมให้รัสเซียในการยึดครองยูเครนและการบุกไต้หวันโดยกำลังทหารจีนในอนาคต
แม้ว่ายังไม่มีกระแสต่อต้านจากประเทศอื่นๆ แต่ประเด็นความชอบธรรมทางกฎหมายก็กลายมาเป็นจุดเปราะบางของรัฐบาลทรัมป์ในการเมืองภายในประเทศ เพราะตั้งแต่เริ่มต้นปฏิบัติการจมเรือขนยาเสพติคในทะเลแคริเบียนเมื่อเดือนก.ย. 2025 ซึ่งไม่ได้กระทำต่อเรือลำเดียวแต่เป็นคำสั่งให้ทำต่อเนื่องมาเรื่อยๆ ส่งผลให้ในเดือนต.ค. 2025 ผบ.กองเรือภาคพื้นแคริเบียน (พล.ร.อ. อัลวิน โฮลซี) ได้ประกาศลาออก(มีผล 12 ธ.ค. 2025) ทั้งที่รับตำแหน่งได้ไม่ถึงปี และขณะนี้ประเด็นเรื่องการสั่งยิงลูกเรือ 2 คนที่รอดตายมาจากการโจมตีเรือลำแรกเป็นการยิงซ้ำซึ่งขัดกับกฎหมายอาชญากรรมสงครามอย่างชัดแจ้งได้กลายมาเป็นประเด็นร้อนในการเมืองสหรัฐฯ
โดยกรรมาธิการทหารของสส.และสว.ก็กำลังเรียกประชุมสอบสวนเรื่องนี้อย่างจริงจัง เพราะเป็นเรื่องสำคัญ ประจวบกับเพิ่งมีประเด็นที่สว. 6 คนของพรรคเดโมเครตเรียกร้องให้นายทหารประจำการปฏิเสธที่จะปฏิบัติตามคำสั่งที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งทำให้ประธานาธิบดีทรัมป์ออกมาประณามว่าเป็นคำพูดที่ผิดร้ายแรงโทษถึงประหาร และสั่งให้ FBI สอบสวนเพื่อดำเนินคดี ประเด็นเรื่องนี้โดยด่วน จึงไปผูกโยงกับคำสั่งในการสังหารผู้รอดจากการโจมตีเรือขนยาเสพติดในทะเลแคริเบียนว่าเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ สุดท้ายใครคือผู้ต้องรับผิดชอบคำสั่งนี้ ซึ่งหาก รัฐบาลทรัมป์ ไม่สามารถให้คำอธิบายทางกฏหมายได้ชัดเจนอาจนำไปสู่การลาออกของรมต.กลาโหม
ตัวอย่างของความพยายามในการเปลี่ยนตัวผู้นำเวเนซุเอล่าครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่า แม้แต่สหรัฐฯซึ่งมีอำนาจและกำลังพร้อมเพรียงยังไม่สามารถทำทุกอย่างได้ตามต้องการ เพราะเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน ต้องใช้เวลาเพื่อรอดูสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม และมีความสุ่มเสี่ยงต่อการทำผิดกฎหมายระหว่างประเทศ ดังนั้น ความแตกต่างและลักษณะพิเศษของสถานะการณ์เวเนซุเอล่าจึงไม่สามารถที่จะนำมาเทียบเคียงเพื่อวิเคราะห์สถานะการณ์ภายในของเขมรแต่อย่างใด
หมายเหตุ : ภาพประกอบจาก th.wikipedia.org , th.wikipedia.org

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา