
"...สิ่งที่น่ากังวลที่สุดคือช่วงเวลาที่ USDT พุ่งสูงขึ้นนี้ สอดรับกับกำหนดการเลือกตั้งในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569 ข้อมูลจากกระบวนการบาหลีชี้ว่า "ตัวชี้วัดทางการเงินที่สำคัญคือ เมื่อลักษณะการใช้ชีวิตหรือการใช้จ่ายไม่ตรงกับแหล่งรายได้" เงินปริศนาที่ไหลผ่านคริปโตอาจไม่ใช่เพื่อการลงทุน แต่มีลักษณะของการเอื้อประโยชน์เตรียมการ "ซื้อเสียงเลือกตั้ง" เพื่อเปลี่ยน "ทุนมืด" ให้เป็น "อำนาจรัฐ" กระแสการใช้เงินสีเทาเป็นอาวุธบิดเบือนเจตจำนงของประชาชน ซึ่งเป็นการบ่อนทำลายรากฐานประชาธิปไตยโดยตรง..."
จากรายงานประจำเดือนของ ก.ล.ต. มีข้อสังเกตถึงความผิดปกติในตลาดคริปโตไทย ที่มีปริมาณซื้อขายสะพัดกว่า 100,000 ล้านบาทต่อเดือน โดยเฉพาะเหรียญ USDT (Tether) มีสัดส่วนพุ่งจากเดิม 40% พุ่งไปแตะ 52% คิดเป็นเม็ดเงินสูงถึง 52,000 ล้านบาทต่อเดือน ภายหลังจากมีรัฐบาลชุดนายอนุทิน ชาญวีรกูล
ตามกระบวนการบาหลี (Bali Process) หรือกรอบความร่วมมือระดับภูมิภาค เพื่อต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติฯ ระบุชัดเจนว่า อาชญากรรมข้ามชาติในปัจจุบันมีความซับซ้อนและเป็นสากลมากขึ้น อาชญากรแสวงหาวิธีใหม่ ๆ ในการปกปิดทรัพย์สิน โดยเฉพาะการใช้ "เงินตราเข้ารหัสลับ" (Cryptocurrency) ที่ทำงานนอกระบบธนาคารแบบดั้งเดิม ทำให้สามารถทำธุรกรรมโดยไม่ปรากฏชื่อและปราศจากการแบ่งปันข้อมูลระบุตัวตน
ซึ่ง USDT คือ เงินคริปโต และ “Stablecoin” ที่นิยมใช้เป็นตัวกลางในการย้ายเงินข้ามประเทศและฟอกเงิน เพราะมูลค่าคงที่และตรวจสอบปลายทางยาก หากประเมินจากรายงานฯ ปริมาณการเทรดที่สูงขนาดนี้ แต่ดัชนีคริปโตโดยรวมไม่ได้หวือหวา อาจสะท้อนว่านี่คือการ "ใช้กระดานเทรดเป็นทางผ่าน" เพื่อแปลงเงินสดสีเทา ให้กลายเป็นสินทรัพย์ดิจิทัล
การที่รัฐบาลปล่อยให้มีบัญชีคริปโตกว่า 200,000 บัญชีที่ไม่เชื่อมโยงกับระบบกำกับดูแล คือการเปิดโอกาสให้เกิดการ "ฟอกเงิน" ตามวงจร 3 ขั้นตอน
1. การนำเงินเข้าสู่ระบบ : แปลงเงินสีเทาจากการทุจริตหรือเครือข่ายอาชญากรรมเป็น USDT
2. การสร้างธุรกรรมหลายชั้น : โอนย้ายผ่าน Cold Wallet หรือแพลตฟอร์มต่างประเทศเพื่อลบร่องรอย
3. การผสานกลับ : นำเงิน "สะอาด" กลับมาใช้สร้างอิทธิพลทางการเมืองหรือบั่นทอนเศรษฐกิจ
ขณะที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ยอมรับว่ามี "เงินปริศนา" ไหลเข้าทำลายกลไก เม็ดเงินที่ไหลผ่านเงินคริปโต เช่น USDT หลักหมื่นล้าน อาจเป็น 'ตัวเร่ง' ให้ค่าเงินบิดเบือนจนเกินปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจจริง จนทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่า ทุบสถิติในรอบหลายปี ส่งผลให้ภาคส่งออกไทยสูญเสียรายได้มหาศาล

ปัญหาใหญ่ที่สุดคือ “การทำงานแบบแยกส่วน” ของหน่วยงานรัฐ ซึ่งเอกสารแนวนโยบายฯ เตือนว่าเป็นอุปสรรคสำคัญในการต่อสู้กับอาชญากรรมทางการเงิน ในขณะที่อาชญากรเคลื่อนเงินผ่านเทคโนโลยีใหม่ได้อย่างรวดเร็ว แต่หน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย ปปง., ตำรวจ, กรมสอบสวนคดีพิเศษ, ก.ล.ต., ธปท. และหน่วยงานสังกัดกระทรวงการคลัง ที่ขอเรียนว่า “หน่วยข่าวกรองทางการเงิน” ของไทย กลับถูกปล่อยให้ "ข้อมูลไม่คุยกัน" แบบ Real-time แต่กลับต้องรอการขอเอกสารเป็นรายเคส
สิ่งที่น่ากังวลที่สุดคือช่วงเวลาที่ USDT พุ่งสูงขึ้นนี้ สอดรับกับกำหนดการเลือกตั้งในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569 ข้อมูลจากกระบวนการบาหลีชี้ว่า "ตัวชี้วัดทางการเงินที่สำคัญคือ เมื่อลักษณะการใช้ชีวิตหรือการใช้จ่ายไม่ตรงกับแหล่งรายได้"
เงินปริศนาที่ไหลผ่านคริปโตอาจไม่ใช่เพื่อการลงทุน แต่มีลักษณะของการเอื้อประโยชน์เตรียมการ "ซื้อเสียงเลือกตั้ง" เพื่อเปลี่ยน "ทุนมืด" ให้เป็น "อำนาจรัฐ" กระแสการใช้เงินสีเทาเป็นอาวุธบิดเบือนเจตจำนงของประชาชน ซึ่งเป็นการบ่อนทำลายรากฐานประชาธิปไตยโดยตรง
ขอเรียกร้องต่อรัฐบาลนายอนุทิน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้ปฏิบัติตามมาตรฐานสากลและคำแนะนำของกระบวนการบาหลี
1. รัฐบาลต้องดำเนินการ"ติดตามเงิน" (Follow the Money) มุ่งเป้าไปที่ผลกำไรซึ่งเป็นสิ่งที่อาชญากรให้คุณค่ามากที่สุด
2. บูรณาการข้อมูล : ต้องทำลายการทำงานแบบแยกส่วนระหว่างตำรวจ พนักงานอัยการ และหน่วยข่าวกรองทางการเงิน
3. กู้คืนสินทรัพย์ : ต้องใช้มาตรการยึดและริบทรัพย์สินที่ได้จากการกระทำผิดอย่างเข้มงวด เพื่อตัดวงจรการนำเงินไปลงทุนซ้ำในอาชญากรรม
ในโลกที่เงินข้ามพรมแดนได้ในไม่กี่วินาที การนิ่งเฉยคือการเปิดประตูบ้านให้กลุ่มทุนสีเทาเข้ามาฟอกอำนาจ ประชาชนมีสิทธิ์ตั้งคำถามได้ว่า "ไม่รู้" หรือ "รู้แต่เลือกที่จะเปิดทาง" กันแน่?
บทความโดย :
ทวี สอดส่อง
ที่มา : Tawee Sodsong-พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา