
"...การเปลี่ยนประธานอาเซียนจากมาเลเซียเป็นฟิลิปปินส์ก็น่าที่จะส่งผลดีให้ไทย โดยเฉพาะในการกำหนดบทบาทและอำนาจหน้าที่ของทีมผู้สังเกตการณ์อาเซียน (AOT) เพราะฟิลิปปินส์ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนในเขมรมากเหมือนมาเลเซีย และบทบาทของ AOT จะช่วยให้มาตรการทางทหารของไทยได้รับการยอมรับในสายตาประชาคมโลกมากขึ้น..."
ในช่วงการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committe: GBC ) ที่จันทบุรี ระหว่างวันที่ 24-27 ธ.ค.2568 ที่กำลังดำเนินการอยู่ขณะนี้เป็นที่ตั้งคำถามกันว่าจะเป็นโอกาสที่นำไปสู่การหยุดยิงระหว่างไทย-เขมรได้จริงจังแค่ไหน
วันนี้เราลองมาดูถึงท่าทีไทยและท่าทีเขมรที่เสนอก่อนการประชุม GBC และข้อพิจารณาที่เกี่ยวข้อง เพื่อดูว่าเราควรมีคาดหวังอย่างไรจากการประชุมครั้งนี้และการที่รมว.กห.ออกมาพูดว่าตอนนี้ไทยไม่มีพวกเลยนั้นเราควรจะแก้ไขกันอย่างไร
@ข้อเสนอของไทย
เงื่อนไขการเจรจาหยุดยิงที่ไทยกำหนดไว้แต่เดิม ก่อนมีข้อเสนอประชุม GBC วาระพิเศษมี 3 ข้อ
1. เขมรต้องเป็นฝ่ายประกาศหยุดยิงก่อน
2. การหยุดยิงเป็นไปอย่างต่อเนื่องและมีการรับรองโดยคณะผู้สังเกตการณ์
3. ร่วมมือกับไทยในการเก็บกู้กับระเบิดอย่างจริงจัง
@ข้อเสนอของเขมร
เขมรเสนอท่าทีการเจรจา GBC ดังนี้
1. ควรมีการประชุม GBC (ระดับรมว.กห.)ทุกเดือน ตามที่ตกลงกันในการประชุมก่อนหน้านี้
2. จัดประชุมฯ ที่ประเทศมาเลเซีย เพราะเป็นประเทศเป็นกลาง
3. วาระประชุม GBC ควรประกอบด้วย
• หยุดยิงและยุติการเป็นศัตรู ตามที่ระบุในความตกลงหยุดยิง เมื่อ 28 ก.ค. 68 และแถลงการณ์ร่วม เมื่อ 26 ต.ค. 68
• การเดินทางกลับภูมิลำเนาของชาวบ้านสู่พื้นที่เดิมก่อนมีการปะทะด้วยกำลัง
• กลับมาปฏิบัติตามแถลงการณ์ร่วม 26 ต.ค. และความตกลงที่เกี่ยวข้อง อื่นๆ
• การเสริมสร้างความเข้มแข็งให้คณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน (เพื่อตรวจสอบการปฏิบัติตามและการละเมิดการหยุดยิง)
@บทวิเคราะห์
• ท่าทีของไทยออกมาตั้งแต่ก่อนมีข้อเสนอการประชุม GBC วาระพิเศษ จึงดูจะเป็นท่าทีที่เน้นตอบสนองความรู้สึกของประชาชนภายในประเทศเป็นหลัก โดยเฉพาะประเด็นการกำหนดให้ฝ่ายเขมรต้องหยุดยิงก่อนและต้องทำต่อเนื่อง/จริงจัง ซึ่งต่างชาติมองว่าเป็นข้อเสนอที่ไม่สามารถเกิดขึ้นจริง
• แม้ว่า ท่าทีเขมรโดยรวมมีความคล้ายคลึงท่าทีไทย จนทำให้สื่อมวลชนของไทยบางส่วนด่วนสรุปว่า ฝ่ายเขมรพร้อมเจรจาอย่างจริงจังแล้ว แต่เมื่อพิจารณาในรายเอียดจะเห็นได้ว่าเป้าหมายของหนังสือแสดงท่าทีเป็นทางการที่ลงนามโดยรมว.กห. เขมร เป็นหนังสือถึงที่ประชุม รมต.กต.อาเซียน วาระพิเศษ เพื่อสร้างภาพลักษณ์ของประเทศรักสันติภาพในหมู่สมาชิกอาเซียนเท่านั้น
•ข้อเสนอเขมรให้จัดประชุม GBC วาระพิเศษ ที่มาเลเซีย ทั้งที่ยอมรับให้จัดประชุมที่จันทบุรีก่อนหน้านี้แล้ว รวมถึงข้อเสนอให้ประชาชนเดินทางกลับสู่ภูมิลำเนาเดิมก่อนการสู้รบ ล้วนเป็นข้อเสนอเพื่อให้ฝ่ายไทยปฏิเสธและสร้างภาพลักษณ์ไม่ดีกับฝ่ายไทย
•ไทยและเขมรตกลงกันที่จะประชุมฝ่ายเลขานุการ GBC วันที่ 24-26 ธ.ค. 68 เพื่อพิจารณาในรายละเอียดก่อนประชุมระดับรมต.กห.วันที่ 27 ธ.ค. 2568 แต่ปรากฏว่าในช่วงการประชุม 24-26 ธ.ค. 68 เขมรยังคงมีการใช้อาวุธหนักโจมตี ซึ่งนำไปสู่การใช้กำลังตอบโต้จากฝ่ายไทยและมีทหารเสียชีวิตและบาดเจ็บ ทำให้ในชั้นนี้ยังไม่เป็นที่แน่ใจได้ว่าการประชุมระดับรมต.วันที่ 27 ธ.ค. 68 จะสามารถเกิดได้จริงหรือไม่
• การยืนยันโดยฝ่ายไทยให้เขมรแสดงความจริงใจในการบรรลุสันติภาพ หลังจากที่มีพฤติกรรมพูดในที่ประชุมอย่างหนึ่งแต่ทำอีกอย่างหนึ่งมาตลอดนั้น ดูเหมือนจะใช้ได้กับในประเทศไทยเท่านั้น เพราะในสายตาต่างชาติยังแยกแยะไม่ออกว่าใครเป็นคนเริ่มความรุนแรงและประเทศเล็กๆเช่นเขมรจะพยายามยั่วยุประเทศไทยเพื่ออะไร
• เนื่องจากที่ผ่านมา ไทยใช้มาตรการทางทหารเพื่อตอบโต้การโจมตีของเขมร และไม่มีนโยบายเป็นผู้เริ่มโจมตีก่อนอยู่แล้ว ดังนั้น หนึ่งในมาตรการเชิงรุกที่ฝ่ายไทยควรพิจารณาเพื่อแสดงความจริงใจในการบรรลุสันติภาพที่ยั่งยืนคือ การประกาศพร้อมหยุดยิงฝ่ายเดียวภายใต้กรอบเวลาที่เหมาะสม (อาจเป็น 3-5 วัน)และภายใต้การรับรองความถูกต้องโดยทีมผู้สังเกตการณ์อาเซียน (AOT) ซึ่งหากปรากฏว่าในช่วงการหยุดยิงของไทยฝ่ายเขมรยังคงมีการใช้กำลังอย่างต่อเนื่อง ฝ่ายไทยก็สามารถใช้สิทธิตอบโต้อย่างเต็มที่โดยไม่ต้องมีการพิสูจน์กันอีกว่าฝ่ายใดเป็นฝ่ายเริ่มกันแน่ และหากชัดเจนแล้วว่าการหยุดยิงถาวรไม่น่าเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ มาตรการที่เฉียบขาดในการจัดการกับศูนย์สแกมเมอร์ในเขมร (ทั้งทางกายภาพและเส้นทางการเงิน)ก็จะเป็นช่องทางสำคัญที่ไทยจะขยายความร่วมมือกับสหรัฐฯและจีนอย่างจริงจัง อันจะสร้างการยอมรับในหมู่ประเทศต่างๆได้มากขึ้น ซึ่งสุดท้ายก็จะเป็นการกดดันให้เขมรต้องทำความตกลงยุติการสู้รบ
• การเปลี่ยนประธานอาเซียนจากมาเลเซียเป็นฟิลิปปินส์ก็น่าที่จะส่งผลดีให้ไทย โดยเฉพาะในการกำหนดบทบาทและอำนาจหน้าที่ของทีมผู้สังเกตการณ์อาเซียน (AOT) เพราะฟิลิปปินส์ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนในเขมรมากเหมือนมาเลเซีย และบทบาทของ AOT จะช่วยให้มาตรการทางทหารของไทยได้รับการยอมรับในสายตาประชาคมโลกมากขึ้น
หมายเหตุ : ภาพประกอบจาก thaipost.net , th.wikipedia.org , twinkl.com

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา