"...ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัลเป็นปัญหาหนักอกของทั้งประเทศที่พัฒนาแล้วและประเทศกำลังพัฒนา รวมทั้งมาตรการบางอย่างจากภาครัฐเองอาจซ้ำเติมความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัลโดยคาดไม่ถึง เป็นต้นว่า โครงการ “ ชิม ช้อบ ใช้” ที่ผ่านมาและโครงการ “เราไม่ทิ้งกัน” ที่ดำเนินการเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและแก้ปัญหาปากท้องยามวิกฤติซึ่งเป็นโครงการที่จำเป็นและทุกคนเข้าใจได้ แต่ขณะเดียวกันก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าทั้งสองโครงการได้ฝากรอยแผลความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัลให้กับคนไทยเอาไว้ไม่มากก็น้อย..."

การระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้ฝากบาดแผลความไม่เท่าเทียมให้กับมนุษย์ไว้อย่างน้อยที่สุด 2 เรื่อง คือ การเสียชีวิตที่มีจำนวนมากอย่างมีนัยสำคัญของคนผิวดำในสหรัฐอเมริกา ซึ่งนำไปสู่ข้อสงสัยเรื่องความไม่เท่าเทียมที่คนผิวดำถูกเลือกปฏิบัติและการใช้มาตรการการถอยห่างจากสังคม (Social distancing) ในช่วงโรคระบาดที่ทวีความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัลแก่คนทั้งโลกให้มากขึ้นไปอีกและยังคงเป็นปัญหาท้าทายรัฐบาลของทุกประเทศทั่วโลกตลอดมา
วิกฤติไวรัสโควิด -19 ทำให้ประเทศสหรัฐอเมริกามีผู้ป่วยติดเชื้อหลายแสนคนและเสียชีวิตแล้วเกือบสามหมื่นคน จากรายงานพบว่ามีตัวเลขอัตราการเสียชีวิตที่ผิดปกติของคนผิวดำจากพิษโควิด-19 ซึ่งมีจำนวนมากกว่าคนผิวขาวและคนกลุ่มอื่นๆ จึงทำให้เกิดข้อสรุปในเบื้องต้นตามสื่อต่างๆว่าการเสียชีวิตของคนผิวดำในสหรัฐอเมริกาคือรูปแบบหนึ่งของความไม่เท่าเทียมระหว่างคนผิวขาวกับคนผิวสีซึ่งเป็นเรื่องที่อยู่คู่สังคมอเมริกันมาช้านาน
จากข้อมูลการสำรวจการติดเชื้อและเสียชีวิตของประชากรอเมริกันในบางพื้นที่ในช่วงโควิด-19 ระบาด พบว่าพื้นที่ที่มีประชากรส่วนใหญ่เป็นคนผิวดำมีการติดเชื้อโควิด -19 สูงกว่าสามเท่าและมีอัตราการตายสูงกว่าเกือบ 6 เท่าเมื่อเทียบกับเขตที่มีประชากรส่วนใหญ่เป็นคนผิวขาว

นอกจากนี้ตัวเลขการติดเชื้อและตัวเลขการตายของกลุ่มคนผิวดำยังสูงกว่าคนกลุ่มอื่นๆ เช่น เอเชีย และกลุ่ม Hispanic อีกด้วย อย่างไรก็ตามยังไม่มีคำอธิบายถึงปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นว่าเหตุใดคนผิวดำจึงมีอัตราการติดเชื้อและเสียชีวิตมากกว่าคนกลุ่มอื่น แม้แต่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เองก็ไม่สบายใจนักต่อตัวเลขจำนวนผู้เสียชีวิตที่เกิดขึ้น ตัวเลขเหล่านี้จึงแสดงนัยสำคัญถึงความเหลื่อมล้ำด้านสุขภาพในสังคมอเมริกันซึ่งแม้แต่ความตายก็ยังหลีกเลี่ยงความไม่เท่าเทียมไม่พ้น
นอกจากความไม่เท่าเทียมจากจำนวนผู้เสียชีวิตของประชากรอเมริกันบางกลุ่มแล้ว การระบาดของไวรัสโควิด -19 ที่ทำให้ชีวิตของผู้คนทั่วโลกต้องถอยห่างจากที่ทำงานและสถานศึกษา ได้ตอกย้ำถึงความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัลในหลายประเทศ เพราะในสภาวะการระบาดของโรคซึ่งผู้คนในทุกประเทศที่ได้รับผลกระทบต่างต้องใช้เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตเพื่อการทำงานหรือการเรียนมากขึ้น แต่ขณะเดียวกันความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตที่เรียกกันว่า Digital Divide ก็เพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว
จากข้อมูลที่เผยแพร่โดยสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ(International Telecommunication Union : ITU) เมื่อปี 2019 พบว่าประชากรทั้งโลกซึ่งมีอยู่ประมาณ 7,700 ล้านคน มีประชากรเพียง 53.6 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ ซึ่งหมายความว่าคนเกือบครึ่งโลกยังไม่สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ต นอกจากนี้การเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตที่ขาดความเสถียรหรือการขาดแคลนอินเทอร์เน็ต ย่อมส่งผลกระทบต่อทั้ง การเรียน การทำงานและการรับข้อมูลข่าวสารของผู้คนอย่างไม่ต้องสงสัย ทั้งที่องค์การสหประชาชาติได้เคยประกาศว่าการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตคือพื้นฐานในการส่งเสริมสิทธิมนุษยชน
แม้ว่าประเทศต่างๆทั่วโลกได้จัดให้มีบริการอินเทอร์เน็ตอย่างทั่วถึงให้กับประชาชนในพื้นที่ห่างไกล แต่ข้อเท็จจริงคือประชาชนอีกนับพันล้านคนยังไม่มีโอกาสได้เข้าถึงอินเทอร์เน็ตปัญหา ความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัล จึงยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องทำให้ประชาชนจำนวนไม่น้อยเสียโอกาสในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารเพื่อสุขภาพในยามเกิดโรคระบาดรวมทั้งไม่สามารถเข้าถึงสวัสดิการต่างๆที่รัฐมอบให้ในช่วงวิกฤติและบุคคลเหล่านี้แทบไม่มีช่องทางที่จะร้องหาความเป็นธรรมจากใครๆได้เลย
การปิดโรงเรียนและมหาวิทยาลัยของประเทศต่างๆครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของการศึกษาใน 188 ประเทศทั่วโลกพร้อมๆกันทำให้นักเรียนเกือบ 1,600 ล้านคนหรือราว 91 เปอร์เซ็นต์ของนักเรียนทั้งโลกต้องถูกตัดขาดจากระบบโรงเรียนและนักเรียนจำนวนหนึ่งต้องเรียนผ่านระบบออนไลน์ ซึ่งต้องพึ่งพาระบบอินเทอร์เน็ตที่มีคุณภาพพอสมควร อย่างไรก็ตามข้อจำกัดในการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตของนักเรียนจำนวนมาก ทำให้การเรียนการสอนผ่านระบบออนไลน์มีอุปสรรค
ประเทศจีนเองแม้ว่าจะเป็นประเทศผู้ผลิตอุปกรณ์คอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือจำนวนมากและมีราคาถูก แต่การเรียนออนไลน์ของนักเรียนกลับพบกับอุปสรรคเพราะผู้ปกครองจำนวนหนึ่งไม่มีกำลังทรัพย์เพียงพอที่จะซื้อโทรศัพท์เพิ่มเติมให้กับเด็กๆเพื่อใช้ทำการบ้านผ่านแอปพลิเคชั่นได้ เนื่องจากทั้งบ้านมีโทรศัพท์เพียงเครื่องเดียว นอกจากนี้สัญญาณโทรศัพท์ยังไปไม่ถึงในพื้นที่ชนบทอีกจำนวนมาก รวมทั้งอินเทอร์เน็ตบ้านในพื้นที่ชนบทมีราคาแพงกว่าในเขตเมืองซึ่งครอบครัวจำนวนไม่น้อยไม่มีกำลังซื้อเพียงพอที่จะเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ อินเทอร์เน็ตและสมาร์ทโฟน จึงยังเป็นสิ่งที่ไกลเกินเอื้อมสำหรับคนกลุ่มใหญ่ในประเทศจีน
ปัจจุบันประชากร 56-80 ล้านคนของประเทศจีนอยู่ในภาวะขาดแคลนอินเทอร์เน็ต นอกจากนี้คนจำนวนราว 480 ล้านคนหรือมากกว่าหนึ่งในสามของประชากรจีนไม่สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ด้วยเหตุผลบางประการ เช่น ไม่รู้วิธีใช้งาน เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ยังคงเกิดขึ้นในประเทศที่มีประชากรใช้โทรศัพท์มือถือมากเป็นอันดับหนึ่งของโลก แต่ผู้คนยังขาดความรู้ความเข้าใจในการใช้เทคโนโลยีที่อยู่ในมือของตัวเอง
เด็กนักเรียนในชนบทของจีนต้องใช้เวลานับชั่วโมงเดินขึ้นไปบนยอดเขาที่มีสัญญาณโทรศัพท์เพื่อเข้าชั้นเรียนออนไลน์ เด็กจำนวนมากขาดโอกาสในการเข้าถึงการเรียนรู้เพราะได้รับการเลี้ยงดูโดยปู่ย่า ตายาย ที่ขาดความรู้ ถึงแม้ไม่ต้องใช้เทคโนโลยีในการเรียนใดๆผู้สูงวัยเหล่านี้ก็ยังไม่สามารถให้คำแนะนำการเรียนให้กับหลานๆได้และโรงเรียนบางแห่งในมณฑลยูนนานเด็กบางชั้นเรียนจำนวนถึงครึ่งห้องไม่สามารถเรียนออนไลน์ได้เพราะขาดอุปกรณ์การเรียน ซึ่งอุปสรรคเหล่านี้อาจเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ทางการจีนพยายามเร่งการเปิดโรงเรียนสำหรับนักเรียนบางระดับในเมืองที่มีความพร้อมให้เร็วที่สุด
แม้แต่ในฮ่องกงเขตบริหารพิเศษของจีนซึ่งดูเหมือนว่ามีความพร้อมกว่าจีนแผ่นดินใหญ่ก็ยังประสบปัญหาการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต ก่อนหน้านี้สื่อได้รายงานว่านักเรียนฐานะยากจนประสบปัญหาเข้าไม่ถึงทรัพยากรออนไลน์ เพราะการเชื่อมต่อทางอินเทอร์เน็ตเป็นภาระของครอบครัวที่เพิ่มขึ้นจากค่าใช้จ่ายตามปกติ แต่รัฐบาลยังไม่มีมาตรการรองรับหรือช่วยเหลือกลุ่มนักเรียนเหล่านี้
ประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่สนับสนุนการมี เสรีภาพ โอกาส ความเท่าเทียมและเป็นประเทศที่มีเทคโนโลยีชั้นสูงเหนือกว่าหลายต่อหลายประเทศ แต่เมื่อถึงคราววิกฤติและผู้คนต้องการทำงานหรือเรียนผ่านระบบออนไลน์กลับพบว่าเกิดปัญหาความเหลื่อมล้ำด้านดิจิทัลเพิ่มขึ้นอย่างมาก ทั้งนี้เนื่องจากหลายเมืองยังขาดแคลนอินเทอร์เน็ตทำให้ระบบการเรียนออนไลน์มีอุปสรรค เมื่อมีการปิดโรงเรียนเด็กนักเรียนบางคนของโรงเรียนบางแห่งในรัฐวอชิงตันและหลายรัฐไม่สามารถเรียนผ่านระบบออนไลน์ได้เพราะอินเทอร์เน็ตบ้านขาดความเสถียรหรือนักเรียนขาดแคลนอินเทอร์เน็ต
จากรายงานของบริษัทไมโครซอฟท์เผยแพร่เมื่อปี 2019 ประมาณการว่า ประชากรอเมริกันราว 162.8 ล้านคนหรือราวครึ่งหนึ่งของประชากรอเมริกันทั้งหมดไม่ได้ใช้อินเทอร์เน็ตความเร็วสูงด้วยเหตุผลต่างๆ เป็นต้นว่า อินเทอร์เน็ตยังเข้าไม่ถึงที่อยู่อาศัย ไม่สามารถจ่ายค่าอินเทอร์เน็ตได้ ไม่มีกำลังทรัพย์พอที่จะติดตั้งอินเทอร์เน็ต ฯลฯ นอกจากนี้ผลสำรวจของบริษัทไมโครซอฟท์และ National H-4 Council พบว่า 20 เปอร์เซ็นต์ของเยาวชนในพื้นที่ห่างไกลไม่สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตบ้านความเร็วสูงได้
ตลอดช่วงเวลา 10 ปีที่ผ่านมา คณะกรรมการกลางกำกับดูแลกิจการสื่อสารของสหรัฐอเมริกา(FCC) ซึ่งทำหน้าที่เหมือนกับ กสทช. บ้านเราได้ทุ่มงบประมาณกว่า 20,000 ล้านเหรียญหรือราว 600,000 ล้านบาทเพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัล แต่ดูเหมือนว่ามาตรการที่ผ่านมาไม่สามารถแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำนี้ได้ จนทำให้คณะกรรมการบางคนถึงกับตั้งข้อสังเกตว่าจำนวนเงินมหาศาลที่ FCC ได้ทุ่มลงไปนั้นแก้ไขปัญหาไม่ตรงจุด ทั้งๆที่ในสหรัฐอเมริกามีผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตมากกว่า 650 ราย มีบริษัทโทรศัพท์ให้บริการอีกนับไม่ถ้วนและมีงบประมาณที่ส่งเสริมให้ผู้คนได้เข้าถึงอินเทอร์เน็ตจำนวนมากก็ตาม
การปิดสถานศึกษาในประเทศไทยในช่วงโควิด-19 ระบาดทำให้นักเรียนกว่า 15 ล้านคนต้องหยุดเรียนและสถานศึกษาต่างๆ รวมทั้งภาครัฐต่างสนับสนุนให้มีการเรียนการสอนผ่านระบบออนไลน์ จึงมีความเป็นไปได้ที่เด็กนักเรียนนับล้านคนในเมืองไทยอาจขาดโอกาสในการได้รับการศึกษาออนไลน์ อย่างทั่วถึงและมีคุณภาพ จากผลพวงของความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัล ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลจาก การขาดคอมพิวเตอร์ การเข้าไม่ถึงอินเทอร์เน็ตหรือได้รับบริการอินเทอร์เน็ตคุณภาพต่ำก็ตาม
แม้มีข่าวแว่วจากกระทรวงศึกษาธิการว่าจะมีการแจกแท็บเล็ตเพื่อการศึกษาออนไลน์ ก็มิได้หมายความว่าจะปิดช่องว่างของความไม่เท่าเทียมทางดิจิทัลลงได้หากองค์ประกอบด้านอินเทอร์เน็ตต่างๆไม่เอื้ออำนวย นอกจากนี้หากกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างยังคงเป็นไปในลักษณะเดิมก็ไม่สามารถที่จะรับประกันว่าการเรียนรู้ผ่านระบบออนไลน์ของเด็กไทยจะประสบความสำเร็จ ซ้ำร้ายอาจกลายเป็นโครงการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำเหมือนกับโครงการก่อนหน้าที่เคยทำกันมาแล้ว
ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัลเป็นปัญหาหนักอกของทั้งประเทศที่พัฒนาแล้วและประเทศกำลังพัฒนา รวมทั้งมาตรการบางอย่างจากภาครัฐเองอาจซ้ำเติมความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัลโดยคาดไม่ถึง เป็นต้นว่า โครงการ “ ชิม ช้อบ ใช้” ที่ผ่านมาและโครงการ “เราไม่ทิ้งกัน” ที่ดำเนินการเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและแก้ปัญหาปากท้องยามวิกฤติซึ่งเป็นโครงการที่จำเป็นและทุกคนเข้าใจได้ แต่ขณะเดียวกันก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าทั้งสองโครงการได้ฝากรอยแผลความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัลให้กับคนไทยเอาไว้ไม่มากก็น้อย
การระบาดของไวรัสโควิด -19 ที่ส่งผลกระทบต่อผู้คนในวงกว้างครั้งนี้จึงไม่เพียงส่งผลกระทบต่อสุขภาพทางกายซึ่งนำไปสู่การเจ็บป่วยและล้มตายเท่านั้น แต่ยังสร้างปัญหาต่อเนื่องไปถึงความไม่เท่าเทียมซึ่งเป็นบาดแผลทางสังคมที่ละเอียดอ่อนและต้องการการเยียวยาอย่างยั่งยืนจากภาครัฐเช่นกัน
อ้างอิงจาก
1. https://www.washingtonpost.com/nation/2020/04/07/coronavirus-is-infecting-killing-black-americans-an-alarmingly-high-rate-post-analysis-shows/?arc404=true
2. https://www.forbes.com/sites/pikeresearch/2020/04/02/as-cities-face-covid-19-the-digital-divide-becomes-more-acute/#42f6129d58c5
3. https://www.nytimes.com/2020/03/17/technology/china-schools-coronavirus.html
4. http://www.voicetv.co.th/read/zE1By9yUW
5. https://www.wired.com/story/school-online-digital-divide-grows-greater/
6. https://www.khaosod.co.th/around-thailand/news_3908279

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา