"...พนักงานสอบสวนเข้าใจหรือมีความคิด( mindset)ว่าตนทำหน้าที่เป็นผู้กล่าวหาตาม “ระบบกล่าวหา” การค้นหาความจริงว่าผู้ต้องบริสุทธิ์หรือไม่เป็นหน้าที่ของทนายความของผู้ต้องหาไม่ใช่พนักงานสอบสวน หากพนักงานสอบสวนจะปฏิบัติตามกฎหมาย ก็จะถูกฝ่ายผู้เสียหายสงสัยว่าพนักงานสอบสวนจะช่วยผู้ต้องหาโดยไม่สุจริต พนักงานอัยการ(พิจารณาเฉพาะข้อเท็จริงในสำนวนที่พนักงานสอบสวนทำมา)รวมทั้งศาลก็จะไม่ค่อยมีบทบาทเชิงรุกในการค้นหาความจริงเพิ่มเติม ด้วยเกรงว่าจะถูกครหา “เรื่องความเป็นกลาง” ทั้งๆที่ระบบไต่สวนกับหลักความเป็นกลางไม่เกี่ยวข้องกัน รูปคดีและข้อเท็จจริงของคดีจึงขึ้นอยู่กับสำนวนสอบสวนของพนักงานสอบสวน..."
จากคดีที่กำลังเป็นที่สนใจของประชาชนและนักกฎหมาย ในเวทีวิชาการกฎหมาย มีการพูดถึงปัญหาของกระบวนพิจารณาที่เกี่ยวข้องอยู่สองประเด็นคือ
ประเด็นแรก เรื่องการค้นหาข้อเท็จจริงของคดี
ประเด็นที่สอง เรื่องกระบวนการในชั้นสอบสวนก่อนฟ้องคดีของพนักงานสอบสวนและพนักงานอัยการ
ปัญหาประเด็นที่สองเป็นปัญหาที่มาจากการที่ป.วิ.อาญาของไทยได้กำหนดให้กระบวนการสอบสวนแยกเป็นสองขั้นตอนโดยอ้างวัตถุประสงค์เพื่อให้เกิด “การคานอำนาจ” ระหว่างพนักงานสอบสวนกับพนักงานอัยการ อันเป็นกระบวนการที่ค่อนข้างมีลักษณะเฉพาะแบบไทยๆไม่สอดคล้องกับระบบสากลที่กำหนดให้มี “การร่วมด้วยช่วยกัน” โดยมีพนักงานอัยการเป็นผู้ควบคุมกำกับแนวทางในการสอบสวนตั้งแต่ต้น กระบวนการสอบสวนของไทยจึงมีลักษณะในทางตรงกันข้ามคือ “ต่างคนต่างทำ” ปัญหาลักษณะนี้เป็นปัญหาสำคัญของการบริหารราชการแผ่นดินของไทยที่ไม่มีลักษณะ “บูรณาการ” เช่นเดียวกัน
ปัญหานี้นำไปสู่การปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมในคดีอาญาตามรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 258 ง. (2) ที่กำหนดให้ “ปรับปรุงระบบการสอบสวนคดีอาญาให้มีการตรวจสอบและถ่วงดุลระหว่างพนักงานสอบสวนกับพนักงานอัยการอย่างเหมาะสม” โดยในปัจจุบันในคดีอาญาบางประเภทกำหนดให้พนักงานอัยการเข้ามามีบทบาทในการสอบสวนร่วมกับพนักงานอัยการตั้งแต่ต้น เช่น คดีพิเศษตาม พรบ. การสอบสวนคดีพิเศษ (มาตรา 32) และกำลังมีการเสนอร่างกฎหมายให้คดีอาญาที่สำคัญบางประเภทที่พนักงานสอบสวนเป็นเจ้าพนักงานตำรวจมีการสอบสวนร่วมกัน
แต่จุดประสงค์ของโพสต์นี้ต้องการพูดถึงปัญหาในประเด็นแรกดังนี้
“ระบบการค้นหาข้อเท็จจริง” มีอยู่ 2 ระบบคือ “ระบบกล่าวหา” และ “ระบบไต่สวน”
ระบบดังกล่าวมีความหมายและขอบเขตเช่นไร และอะไรคือปัจจัยในการที่จะกำหนดว่าควรใช้ระบบใด เพื่อไม่ให้เนื้อหามากเกินไป รบกวนท่านผู้อ่านเข้าไปดูคลิปวีดีโอที่ผมได้จัดทำไว้ในเพจนี้
คดีอาญา รัฐมี “จุดประสงค์เพื่อการค้นหาความจริงหรือผู้กระทำความผิดและคุ้มครองสิทธิการต่อสู้คดีของผู้ต้องหาและจำเลย” นอกจากนี้ คดีอาญามีลักษณะคดีที่เป็น “เรื่องสาธารณประโยชน์” และผู้ต้องหาและจำเลยไม่มีความเท่าเทียมกับพนักงานสอบสวนและพนักงานอัยการ ซึ่งมีลักษณะทำนองเดียวกับคดีปกครอง ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาของไทย จึงนำระบบไต่สวนของกลุ่มประเทศซีวิลลอว์มากำหนดไว้ด้วย ไม่ว่าจะเป็นมาตรา 131 ที่กำหนดให้พนักงานสอบสวน “ค้นหาข้อเท็จจริง” เพื่อจะรู้ตัวผู้กระทำความผิดและพิสูจน์ให้เห็นความผิดหรือความบริสุทธิ์ของผู้ต้องหา (โดยหลักการ “เรื่องพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของผู้ต้องหา” ได้เพิ่มขึ้นมาเมื่อ พ.ศ.2547 ) ส่วนบทบาทผู้พิพากษาในการค้นหาข้อเท็จริงนั้น มาตรา 15 ประกอบกับ ป.วิ.แพ่ง มาตรา 86 วรรคสาม ศาลมีอำนาจเรียกพยานมาสืบได้เอง
จากจุดประสงค์ของคดีและปัจจัยรวมทั้งบทบัญญัติดังกล่าว กลับปรากฏว่า ผู้ใช้อำนาจในกระบวนการยุติธรรมไม่ได้นำไปปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมอันเป็นปัญหา “เรื่องการบังคับใช้กฎหมาย” กล่าวคือ
พนักงานสอบสวนเข้าใจหรือมีความคิด( mindset)ว่าตนทำหน้าที่เป็นผู้กล่าวหาตาม “ระบบกล่าวหา” การค้นหาความจริงว่าผู้ต้องบริสุทธิ์หรือไม่เป็นหน้าที่ของทนายความของผู้ต้องหาไม่ใช่พนักงานสอบสวน หากพนักงานสอบสวนจะปฏิบัติตามกฎหมาย ก็จะถูกฝ่ายผู้เสียหายสงสัยว่าพนักงานสอบสวนจะช่วยผู้ต้องหาโดยไม่สุจริต พนักงานอัยการ(พิจารณาเฉพาะข้อเท็จริงในสำนวนที่พนักงานสอบสวนทำมา)รวมทั้งศาลก็จะไม่ค่อยมีบทบาทเชิงรุกในการค้นหาความจริงเพิ่มเติม ด้วยเกรงว่าจะถูกครหา “เรื่องความเป็นกลาง” ทั้งๆที่ระบบไต่สวนกับหลักความเป็นกลางไม่เกี่ยวข้องกัน รูปคดีและข้อเท็จจริงของคดีจึงขึ้นอยู่กับสำนวนสอบสวนของพนักงานสอบสวน
จากปรากฏการณ์ดังกล่าวส่งผลทำให้เกิดแพะในคดีและผู้กระทำความผิดที่รำ่รวยหรือมีอิทธิพลหลุดพ้นจากคดี
ก่อนจบโพสต์ที่ค่อนข้างยาวนี้ ผมอยากจะสรุปภาพรวมของกฎหมายวิธีพิจารณาความของไทยว่า ในชั้นยกร่างประมวลกฎหมาย เราได้นำวิธีพิจารณาระบบไต่สวนของกลุ่มประเทศซีวิลลอว์มาผสมกับระบบกล่าวหาของกลุ่มประเทศคอมมอนลอว์ แต่นักกฎหมายไทยเป็นนักกฎหมายคอมมอนลอว์ โดยมีสาเหตุมาจากนักกฎหมายไทยในช่วงยุคนั้นไปเรียนที่ประเทศอังกฤษ จึงได้รับอิทธิพลการดำเนินคดีในศาลของอังกฤษ การเรียนการสอนก็ให้ความสำคัญกับคำพิพากษาของศาลเหมือนอังกฤษ ส่งผลให้บทบัญญัติที่เป็นระบบไต่สวนไม่ค่อยจะถูกนำไปปฏิบัติ จนเป็นเพียงบทบัญญัติที่กลายเป็นหมันหรือเป็นเพียง “ตัวอักษรที่ตายแล้ว” นอกจากนี้ ปรากฏการณ์ดังกล่าวยังส่งผลต่อวิธีการตีความกฎหมายที่นิยมตีความแบบระบบคอมมอนลอว์คือเน้นดูความหมายตามตัวอักษรเป็นสำคัญ ไม่พิจารณาควบคู่ไปกันกับเจตนารมณ์ตามที่ปพพ.แพ่ง มาตรา 4 วางหลักไว้ จนมีการพูดเปรียบเปรยว่านักกฎหมายไทยเป็น “นักกฎหมายแบบศรีธนนชัย”
ที่มา : https://www.facebook.com/100010992582734/posts/1234019303641144/?d=n
หมายเหตุ : ภาพประกอบจาก www.freepik.com