
"...เต้ยลาออกจากมหาวิทยาลัย ระหกระเหินไปทำงานต่างจังหวัด ลองผิดลองถูก เห็นใครขายอะไรได้ดี ก็ลอกเลียนแบบ ตั้งแต่ลูกชิ้นทอด กล้วยอบน้ำผึ้ง ขายผลไม้ ข้าวไข่เจียว หมูปิ้ง แซนด์วิช อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ น้ำเต้าหู้ กาแฟโบราณ ปลาหมึกปิ้งป๊อปคอร์น หนังสือมือสอง ตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญ รวมทั้งทำกาแฟใส่ถุงกระดาษ แต่ทุกกิจการเจ๊งระเนระนาดไม่เป็นท่า..."
........................
เมื่อ 24 ปีก่อน ปี 2540 เกิดวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้งของเมืองไทย หนึ่งในคนที่ล้มละลายย่อยยับมีหนี้สินติดตัวนับพันล้านคือ คุณศิริวัฒน์ วรเวทวุฒิคุณ อดีตกรรมการผู้จัดการบริษัทหลักทรัพย์ เจ้าของโครงการอสังหาริมทรัพย์ และเซียนหุ้น แต่ด้วยจิตวิญญาณของนักสู้ คุณศิริวัฒน์ได้ผันตัวเองมาเป็นพ่อค้าขายแซนด์วิชข้างถนนภายใต้แบรนด์เนม “ศิริวัฒน์แซนด์วิช” จนกลับฟื้นคืนชีวิตเป็นที่ยอมรับในสังคม และสร้างแรงบันดาลใจให้แก่คนทั้งประเทศ
มาในวันนี้ การระบาดของโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในทุกภาคส่วน ข่าวใหญ่มากก็คือ ผู้ประกอบธุรกิจต้องหาทุกวิถีทางที่จะพาตัวเองไปให้รอด ปรับตัวไปตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปทุกวัน เกิดความเครียด ท้อแท้ หลายรายถึงกับต้องเลิกกิจการ แต่สำหรับคุณเกษมพงษ์ ห่วงจริง (เต้ย) ผู้เคยผ่านมรสุมทำธุรกิจ “เจ๊ง” มาแล้ว 15 หน กลับเห็นว่า “ความสำเร็จและความล้มเหลว แบ่งกันด้วยเส้นบาง ๆ เท่านั้น”ด้วยทัศนคติที่ว่า “ให้มองสิ่งที่เราเหลืออยู่ และกำลังจะทำต่อไป ไม่ใช่มัวมองสิ่งที่สูญเสียไป แล้วเป็นทุกข์กับมัน เพราะเรา ทำอะไรไม่ได้แล้ว มีสิ่งใหม่ ๆ เกิดขึ้นทุกวัน จงมองในสิ่งที่หลงเหลืออยู่และในวันต่อ ๆ ไป” จึงทำให้วันนี้ เต้ยในวัย 37 ปี กลายเป็นเจ้าของร้านแฟรนไชส์ “เตี๋ยวตุ๋นหม้อไฟ INDY” มูลค่ากว่า 100 ล้านบาทหลังเปิดกิจการมาไม่ถึง 5 ปี
ในเวลาราว 45 นาทีที่ผมได้คุยกับเต้ยทางโทรศัพท์เมื่อบ่ายวันเสาร์ที่ผ่านมา ผมได้รับรู้ถึงความเป็นตัวตนที่แท้จริงว่าเต้ยเป็นคน “คิดเป็น พูดเป็น และทำเป็น” เขาเล่าว่า ครอบครัวเป็นคนบ้านโป่ง ราชบุรี ต่อมาย้ายมาอยู่กรุงเทพ ทำอาชีพค้าขายรับเซรามิคไปขายตามตลาดนัด พ่อแม่ตื่นตั้งแต่ตี 3 ทำงานหามรุ่งหามค่ำ แต่ชีวิตก็ยังยากลำบาก เต้ยในฐานะลูกคนเดียวฝังใจตั้งแต่เด็กว่า จะต้องทำให้ความเป็นอยู่ของที่บ้านสุขสบายขึ้น เริ่มจากหิ้วเซรามิคไปขายที่โรงเรียนตั้งแต่อยู่ชั้นมัธยมปลายต่อมา ได้เข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต เลือกเรียนวิชาการจัดการท่องเที่ยวตามเพื่อน ๆ เพราะเพียงอยากจะได้ไปเที่ยว แต่ขณะเรียนอยู่ชั้นปีที่ 2 ร้านส้มตำอีสานข้างล่างหอพักประกาศเซ้งร้าน ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยรู้เรื่องการทำส้มตำเลย แต่เมื่อเคยเห็นร้านเขาขายดี ก็ฝันเฟื่องว่า คงจะได้เป็นพ่อค้าส้มตำร่ำรวย มีเงินก้อน 5 แสนบาท ถ่ายรูปให้พ่อแม่ดีใจ รีบตัดสินใจซื้อกิจการต่อทันทีขายข้าวของที่มีอยู่ทุกอย่าง ทั้ง สร้อยทองที่พ่อให้ เกม PlayStation ของรักของหวง เรียกว่าทุ่มทุนสุดตัว แต่เปิดได้ไม่กี่เดือนก็ต้องม้วนเสื่อ หมดตัว เป็นหนี้นอกระบบ เต้ยเล่าว่า “ด้วยความเป็นเด็กวัยเพียง 20 ปี คิดว่า คนอื่นทำได้ เราคงทำได้ มาทำธุรกิจอาหารแบบไร้เดียงสา เชื่อใจคน ถูกลูกจ้างตอดนิดตอดหน่อย จนขาดทุนยับ”
เต้ยลาออกจากมหาวิทยาลัย ระหกระเหินไปทำงานต่างจังหวัด ลองผิดลองถูก เห็นใครขายอะไรได้ดี ก็ลอกเลียนแบบ ตั้งแต่ลูกชิ้นทอด กล้วยอบน้ำผึ้ง ขายผลไม้ ข้าวไข่เจียว หมูปิ้ง แซนด์วิช อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ น้ำเต้าหู้ กาแฟโบราณ ปลาหมึกปิ้งป๊อปคอร์น หนังสือมือสอง ตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญ รวมทั้งทำกาแฟใส่ถุงกระดาษ แต่ทุกกิจการเจ๊งระเนระนาดไม่เป็นท่า
ความล้มเหลวเกิดจากการไม่ศึกษา ไม่มีความรู้ในธุรกิจที่จะทำ เพียงแต่นึกอยากจะทำตามคนอื่น เช่น การตั้งขายกล้วยทอดอบน้ำผึ้งเพียงอย่างเดียวโดยไม่มีสินค้าอย่างอื่น ทำให้คนซื้อเบื่อเพราะหน้าตาคนซื้อจะเหมือนกล้วยเข้าไปทุกวัน ยอดขายตก การขายหมูปิ้งที่ดูเหมือนง่าย แต่เอาเข้าจริงพอมีลูกค้าเยอะ ๆ ปิ้งไม่ทันต้องเร่งไฟ เนื้อหมูไหม้เกรียม และเมื่อพอทำสุกได้พอดิบพอดี ก็ไม่มีคิวลูกค้าแล้วเพราะทุกคนต้องเข้าไปทำงาน
การขายน้ำเต้าหู้ ปาท่องโก๋ก็เช่นกัน เมื่อเห็นข้างบ้านขายดีเป็นเทน้ำเทท่า จนเจ้าของร้านมีกิจการหอพักเพิ่มขึ้นมา นึกว่าจะทำแบบนั้นได้ ไปขอเรียนรู้วิทยายุทธ์ แต่ท้ายสุดไปไม่รอด เพราะหน้าตาเราเด็กอ่อนวัย ขาดความชำนาญลูกค้าเมินหน้าหนีไม่เหมือนร้านข้าง ๆ เจ้าของเป็นคนจีนสูงวัย นวดตัดแป้ง ทอดปาท่องโก๋อย่างว่องไว
นอกจากนี้ ธุรกิจบางอย่างก็ถูกมองข้ามเรื่องที่คิดไม่ถึงไป เช่น ตู้หยอดน้ำที่เด็กวัยรุ่นมักจะหาวิธีขโมยเงินออกจากตู้ กลับไปเปิดตู้ทีไร เห็นแต่ตู้เปล่า หมดทั้งเงินทั้งน้ำเต้ยบอกว่า ชีวิตช่วงนั้นตกอับสุด ๆ ห่วยที่สุด แย่ที่สุด เมื่อเปรียบเทียบกับญาติพี่น้อง ต้องบอกว่าตนเองไม่มีอะไรเลย เวลามีงานรวมญาติ พูดคุยกันถึงความสำเร็จของลูกหลาน พ่อแม่จะก้มหน้า ขณะที่เต้ยแยกไปนั่งห่าง ๆ อย่างเงียบ ๆ
จากบทเรียนข้างต้น เต้ยคิดว่าจะต้องเปลี่ยนปรัชญาการทำธุรกิจ เรื่องที่คิดว่าง่ายสำหรับคนอื่น ไม่ได้แปลว่าจะเป็นเรื่องง่ายสำหรับเราการศึกษาให้รู้อย่างถ่องแท้คือ กุญแจสำคัญของความสำเร็จ เต้ยลุกขึ้นมาสู้อีกครั้ง เป็นครั้งที่ 16 เลข “หก หก” ไม่ค่อยเป็นมงคลอยู่แล้วเต้ยถามตัวเองว่า “แล้วอะไรล่ะที่พอจะทำได้และต้องทำได้ดี?” แว๊บนึกขึ้นมาได้ว่า คุณตาคุณยายมีสูตรทำน้ำก๋วยเตี๋ยวหมูทีเด็ดเวลาทำเลี้ยงญาติ ๆ จะได้รับคำชมว่าอร่อยมาก และนี่คือที่มาของการทุบหม้อข้าวหม้อแกง ลงทุนด้วยเงินที่เหลือติดตัวอยู่เพียง 3,000 บาท พร้อมเงินที่แม่โอนมาให้อีก 1,000 บาท หาถ้วยชามและหม้อไฟเก่ามาใช้ ขอลองให้สุดชีวิตตัดสินใจเปิดร้านขายก๋วยเตี๋ยวหมูตุ๋นในตัวเมืองขอนแก่น บ้านเกิดของคุณศศิธร หาบุตร ภรรยา ที่ยอมลาออกจากบริษัทเอกชน ทั้ง ๆ ที่มีตำแหน่งระดับบริหารชั้นต้น เพื่อมาสานฝันร่วมกัน

เต้ยคิดจะให้ก๋วยเตี๋ยวหมูตุ๋นมีอัตลักษณ์โดดเด่น แทนที่จะขายเป็นชาม ๆ ก็นำมาดัดแปลงขายแบบหม้อไฟ แยกเส้นสมุนไพรไว้ต่างหากพร้อมน้ำจิ้ม 3 รส ไว้ให้ลูกค้าเลือกตามความชอบ ตั้งชื่อร้าน “เตี๋ยวตุ๋นหม้อไฟ INDY” ให้ดูทันสมัยตามแนวคิดนอกกรอบ เต้ยยอมรับว่าก่อนเปิดไม่แน่ใจว่าจะไปรอดหรือไม่ ยิ่งเมื่อเห็นภรรยาต้องมานั่งขัดก้นหม้อไฟรอยดำ ก็นึกสงสาร และตั้งใจว่าจะทำให้สำเร็จจนได้ หากล้มก็จะเลิกกลับไปหางานเป็นลูกจ้าง
และแล้ว ความฝันกลับกลายเป็นจริง วันแรกที่เปิดขาย ลูกค้าเต็มร้าน ยอดขายกว่า 8,000 บาท เพื่อนบ้านมาทักว่า รถติดทั้งซอยเพราะคนมาออเข้าคิวเต็มหน้าร้าน เต้ยบอกกับตัวเองทันทีว่า “เดินมาถูกทางแล้ว” ไม่นานนัก มีผู้สนใจขอเข้าร่วมเป็นแฟรนไชส์ แต่คราวนี้เต้ยสุขุมและรอบคอบขึ้น ขอเวลาไปเรียนรู้การทำแฟรนไซส์อย่างมืออาชีพจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้าก่อน ไม่ต้องการให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยจาก “การรู้แบบไม่รู้” ที่สำคัญไม่อยากให้ผู้ซื้อแฟรนไชส์ล้มเหลวเหมือนกับที่ตนเคยประสบมา ดังนั้น เมื่อเต้ยตัดสินใจจะเปิดขายแฟรนไชส์ก็ต้องสัมภาษณ์ ซักถามถึงประสบการณ์ ความใฝ่ฝัน ความตั้งใจ ความเป็นไปได้ของทำเลที่ตั้งก่อนทุกครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่า การดำเนินกิจการจะไม่มีอุปสรรค
นับตั้งแต่เปิดร้านเตี๋ยวตุ๋นหม้อไฟ INDY ร้านแรกในปี 2559 ปัจจุบันร้านเตี๋ยวตุ๋นหม้อไฟ INDY มีสาขารวม 446 แห่งเป็นร้านที่เต้ยบริหารเองในตัวเมืองขอนแก่น 2 แห่ง ที่เหลือเป็นรูปแบบสาขาแฟรนไซส์กระจายอยู่ทั่วประเทศ
พวกเราคงอยากทราบว่า กิจการของเต้ยภายใต้สถานการณ์โควิด-19 เป็นอย่างไร ประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยหรือไม่ เต้ยบอกว่า นับตั้งแต่มีการระบาดในเมืองอู่ฮั่นช่วงปลายปี 2562 ก็คิดทันทีว่า โรคระบาดนี้ไม่ธรรมดา อีกไม่นานคงกระจายในวงกว้าง และนับจากต้นปี 2563 เต้ยได้วางแผนปรับการขายในร้านควบคู่กับการขายแบบส่งถึงบ้าน (home delivery) มีการจัดทำการตลาดผ่านโซเชียลมีเดีย ลงทุนจ้างช่างภาพมืออาชีพถ่ายรูปเมนูอาหารให้ดูสวยงาม พร้อม ๆ กับทำสัญญากับบรรดาบริษัทส่งอาหารจานด่วน รวมถึงการใช้ช่องทางการซื้อแบบการไดร์ฟทรู (Drive Thru) ให้ดูเก๋ไก๋เหมือนร้านฟาสต์ฟู้ดยักษ์ใหญ่ ปรากฏว่า ประสบความสำเร็จอย่างน่าพอใจ ธุรกิจไปได้ดี ยอดขายสูงขึ้นแม้จะมีโควิด-19 มาแล้ว 3 รอบ ตลอดจนมาตรการล็อกดาวน์ที่ทยอยตามมาไม่ขาดสาย
เตี๋ยวตุ๋นหม้อไฟ INDY ยังมีธุรกิจเสริมในรูปแบบผลิตภัณฑ์ก๋วยเตี๋ยวสำเร็จรูปภายใต้แบรนด์ “ตุ๋นสยาม (Tun Siam) by เตี๋ยวตุ๋นหม้อไฟ INDY” ที่ตอนแรกทำในรูปแบบกล่องโฟม แต่ไม่เป็นที่นิยม จึงดัดแปลงมาเป็นในรูปบรรจุห่อ ตอบโจทย์ลูกค้าที่พอเห็นภาพของก๋วยเตี๋ยวตุ๋นก็นึกอยากรับประทานทันที จนขายดีมากในต่างประเทศและไม่พอจำหน่ายภายในประเทศ แต่เต้ยไม่หยุดเพียงเท่านี้ กำลังจะนำ “หนังเป็ดทอดกรอบ” บรรจุห่อสูญอากาศออกมาขายในเร็ว ๆ นี้ เพราะคิดว่า หนังเป็ดน่าจะมีอะไรเหนือกว่าหนังไก่
มาวันนี้ เต้ยได้นำเงินก้อนใหญ่มาให้พ่อแม่เห็นตามความฝันแล้ว และชวนทั้งสองท่านให้มาอยู่พร้อมหน้าลูกหลานที่ขอนแก่นเต้ยกล่าวทิ้งท้ายว่า “ผมตั้งเป้าที่จะทำให้ดีขึ้นทุกวัน คิดว่าจะทำอย่างไรให้วันพรุ่งนี้ดีกว่าวันนี้ วันสิ้นสุดที่จะเลิกคิดคือวันสุดท้ายของชีวิตและถ้าผมไม่อยู่แล้ว ก็หวังว่าลูกหลานจะสานต่อความสำเร็จได้”
คุณเกษมพงษ์ ห่วงจริง (เต้ย) ถือเป็นตัวอย่างของคนสู้ชีวิต ให้เห็นว่าแม้จะเจออุปสรรคหนักหนาสาหัสเพียงใด ถ้ามีความมุ่งมั่นตั้งใจก็สามารถฟื้นคืนให้ดีกว่าเดิมได้เสมอ พร้อมกับให้บทเรียนว่า ความสำเร็จไม่ได้มาง่าย ๆ ต้องมาพร้อมกับความเข้าใจ ความรู้ถึงแก่น และสำคัญที่สุด ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน
เขียนโดย รณดล นุ่มนนท์

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา