
'จำรูญ เกิดดำ' ราษฎรอาวุโส อดีตครูใหญ่โรงเรียนบ้านควนทองประชาอุทิศ ตำบลควนทอง อำเภอขนอม นครศรีธรรมราช ยื่นถวายฎีกาถึงสำนักพระราชวังร้องเรียนพฤติกรรม ขรก.ละเว้นปฏิบัติหน้าที่ไม่อนุรักษ์รักษาที่ดินสาธารณะป่าไม้สมบัติแผ่นดิน เกรงกลัวอิทธิพลเอื้อประโยชน์กลุ่มนายทุน นักการเมือง ส่งผลกระทบรุนแรงต่อการทำลายทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อม 4 กรณีใหญ่
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ นายจำรูญ เกิดดำ ราษฎรอาวุโส อดีตครูใหญ่ โรงเรียนบ้านควนทองประชาอุทิศ ตำบลควนทอง อำเภอขนอม จังหวัดนครศรีธรรมราช ได้ยื่นถวายฎีกาถึงสำนักพระราชวัง เกี่ยวกับปัญหาข้าราชการปัจจุบันที่มีพฤติกรรมละเว้นปฏิบัติหน้าที่ไม่อนุรักษ์รักษาที่ดินสาธารณะป่าไม้สมบัติแผ่นดิน เกรงกลัวอิทธิพลเอื้อประโยชน์ต่อนายทุน นักการเมือง ส่งผลกระทบรุนแรงต่อการทำลายทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อม 4 กรณีใหญ่
นายจำรูญ เกิดดำ เปิดเผยผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา ว่า จากการติดตามผลการปฎิบัติงานของข้าราชการรุ่นน้องที่เกี่ยวข้องกับกฏหมายป่าไม้ที่ดินและขบวนการยุติธรรมแล้วรู้สึกไม่สบายใจ และมองว่าถ้ารุ่นสมัยตนไม่ทำอะไรไว้ให้เป็นรูปแบบต่อไปป่าไม้และที่ดินสาธารณะประโยชน์จะหดหายไปเรื่อย ๆ จึงหารือเครือข่ายที่ร่วมทำงานด้านอนุรักษ์กันมาในห่วงเวลา 20 ปี และมีความเห็นร่วมกันว่าถึงเวลาแล้วที่จำเป็นจะต้องถวายฎีกาซึ่งเป็นขั้นตอนสุดท้ายที่จะทำงานด้านอนุรักษ์พื้นที่ในฐานะประชาชนหรือราษฎร
“ผมคิดแล้วก็ดำเนินการที่ไม่ลังเลอะไรเพราะที่ทำถวายฎีกาไม่ได้ประสงค์อะไรเพื่อตัวเอง แต่ประสงค์ให้สาธารณะสมบัติของแผ่นดินยังอยู่สืบไป ข้าราชการที่เกี่ยวข้องบางราย ไม่เห็นความสำคัญของคนในอดีต เช่นโครงการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวราชการที่ 9 ที่จังหวัดภูเก็ตสมัยนั้นทำโครงการก่อสร้างวิทยาลัยแห่งใหม่เป็นโครงการเฉลิมพระเกียรติที่พระองค์ท่านทรงครองราชครบ 50 พรรษา แต่ข้าราชการป่าไม้ปัจจุบันปล่อยปละละเลยให้พื้นที่โครงการหายไปและเพิกเฉยเคยร้องแจ้งให้ผู้บริหารทราบ กลับตั้งกรรมการมาช่วยเหลือกันจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องถวายฎีกา เช่นเดียวกับเรื่องการบุกรุกเขาแพงที่อำเภอเกาะสมุย ศาลชั้นต้นลงโทษศาลอุทธรณ์ยกฟ้อง ชาวบ้านอย่างผมต้องการรู้ว่าศาลฎีกาจะพิพากษาว่าอย่างไร แต่กลับมีขบวนการวิ่งเต้นไม่ให้มีการไม่ฎีกาต่อ" ” นายจำรูญกล่าว


รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับเนื้อหาที่นายจำรูญ ถวายฎีกาถึงสำนักพระราชวัง ความว่า "ข้าพเจ้านายจำรูญ เกิดดำ ราษฎรในฐานะประธานเครือข่ายอนุรักษ์พื้นที่อ่าวไทย-อันดามัน มีความขับแค้นใจกรณีที่ข้าราชการหลายกรมหลายกระทรวงไม่ปฎิบัติหน้าที่หรือละเว้นปฎิบัติหน้าที่ไม่อนุรักษ์รักษาที่ดินสาธารณะที่ดินป่าไม้ไว้เป็นสมบัติของแผนดินทั้ง ๆ ที่เป็นสมบัติสาธารณะ ไม่ช่วยกันปกปักษ์รักษาในฐานะข้าราชการที่มีหน้าที่ต้องดูแลรักษาที่ดินสาธารณะกลับสนับสนุน หรือเกรงกลัวอิทธิพลหรือเอื้อประโยชน์ต่อนายทุน นักการเมือง ผู้มีอิทธิพล ปฎิบัติตัวไม่เหมาะสมเป็นข้าราชการ จนส่งผลกระทบอย่างรุ่นแรงต่อการทำลายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
กรณีที่ 1 วิทยาลัยเทคนิคถลาง อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต ได้รับอนุญาตจากกรมป่าไม้ให้ใช้พื้นที่จำนวน 142 ไร่ 1 งาน 17 ตารางวา ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ป่าบางขุนุน อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต ในนามกรมอาชีวะศึกษา ให้วิทยาลัยเทคนิคภูเก็ต ก่อตั้งเป็นวิทยาลัยเทคนิคภูเก็ต 2 โดยจังหวัดภูเก็ตเสนอเป็นโครงการเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ทรงครองราชย์ครบ 50 พรรษา ซึ่งในเวลาต่อมาได้จัดการศึกษาแยกจากกันจากวิทยาลัยเทคนิคภูเก็ต 2 เป็นวิทยาลัยเทคนิคถลาง ในห่วงสามปี ที่ผ่านมาวิทยาลัยเทคนิคถลาง ได้เปลี่ยนผู้บริหารเป็นผู้บริหารผู้หญิงและได้ตรวจพบว่ามีการบุกรุกพื้นที่วิทยาลัยฯที่ได้รับอนุญาตจากกรมป่าไม้ ประธานการอาชีวศึกษาจังหวัดภูเก็ตจึงได้แต่งตั้ง ข้าพเจ้าและบุคคลอื่นๆที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านเข้าไปช่วยกันทวงคืนที่ดินขณะที่ในด้านข้อกฏหมายวิทยาลัยได้ร้องขอให้กรมสอบสวนคดีพิเศษช่วยเหลื่อ ซึ่งขณะที่ พ.ต.ท.กรวัชร์ ปานประภากร ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้พิจารณารับการบุกรุกที่ดินวิทยาลัยเทคนิคถลาง และ พื้นที่ต่อเนื่องเป็นคดีพิเศษ เข้าใจว่าขณะนี้ พนักงานสอบสวนคดีพิเศษกำลังสืบสวนสอบสวนคลีคลายคดีอยู่
แต่ที่ต้องร้องขอความเป็นธรรมในครั้งนี้ คือ เจ้าหน้าที่ป่าไม้ กรมป่าไม้ สำนักทรัพยากรป่าไม้ที่ 12 สาขากระบี่ ศูนย์ประสานงานป่าไม้จังหวัดภูเก็ต สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมภูเก็ต ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดภูเก็ต ไม่ได้ทำหน้าที่และหากทำหน้าที่ก็เอื้อประโยชน์กับผู้บุกรุกที่ดินป่าสงวนแห่งชาติป่าบางขนุน กล่าวคือ วิทยาลัยประสงค์จะรักษาพื้นที่ไว้ใช้เพื่อจัดการศึกษาให้ได้ครบพื้นที่ 142 ไร่ 1 งาน 17 ตารางวา ได้รองขอให้กรมป่าไม้รังวัดแนวเขตให้เป็นไปตามใบอนุญาตตามโครงการเฉลิมพระเกียรติ แต่จนกระทั้งถึงขณะนี้กรมป่าไม้ยังเพิกเฉย ได้สอบถามผู้บริหารของวิทยาลัยเทคนิคถลาง ว่าได้ทำหนังสือทวงติงการรังวัดพื้นที่ให้ไม่ครบและได้ร้องขอซ้ำอีกขณะนี้ก็ยังเพิกเฉย ข้าพเจ้าจึงอดไม่ได้ที่จะร้องขอความเป็นธรรมให้ โครงการเฉลิมพระเกียรติฉลองในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงครองราชย์ครบ 50 พรรษา ยังคงมีพื้นที่เพื่อใช้จัดการศึกษาเพื่ออนาคตของเยาวชนไทยให้ครบถ้วนตามการอนุมัติอนุญาตเมื่อ ปี พ.ศ.2540
เรื่องที่ 2 พื้นที่ในจังหวัดภูเก็ตอีกแปลงหนึ่งที่มีความสำคัญต่อวิถีชีวิตชาวเกาะ ริมทะเลเป็นอย่างยิ่ง และน่าจะเป็นพื้นที่เดียวหาดเดียวในจังหวัดภูเก็ตที่ยังคงอยู่เป็นที่ดินสาธารณะที่ประชาชนน่าจะเดินลงหาดได้เหมื่อนในอดีตที่ผ่านมา แต่สภาพปัจจุบัน ข้าราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างๆยังทำหน้าที่ไม่สมบูร์ประหนึ่ง เหมือนกับซื้อเวลา โดยเฉพาะงานได้ปราบปราม ที่ดินแปงนี้ เป็นที่รู้จักกันทั่วไป ในนามที่ดินหาดเลยพัง-ลายัน 178 ไร่ จะขอย้อนอดีตไม่ไกลมานัก พื้นที่บริเวณนี้เป็นที่ดินที่ได้รับความชื่นชอบในอดีตคือการเดินเต่าหลังจากที่ที่ดินบริเวณนี้ได้งอกจากที่ทะเลมาเป็นชายหาด และก่อนหน้านั้นถ้าใครที่เกิดทันช่วงเรือดูดแพดัน เหมืองแร่ในทะเล ก็จะเห็นภาพเรือขุดบกเรือขุดในทะเล พื้นที่บริเวณนี้ เป็นประทานบัตรเหมืองแร่ มาโดยตลอดโดยที่ประทานบัตรเหมืองแร่ดีบุกไม่ได้ให้บนบกหรือในทะเลแยกกัน แต่เป็นการให้ประทานบัตรที่ต่อเนื่องกัน ซึ่งพื้นที่ชายหาดในปัจจุบัน ในอดีตคือที่ดินทะเล และเมื่อมีการก่อสร้างถนนนิเวศน์ทะเลเปลี่ยนที่ดินชายหาด งอกจากถนนจึงเป็นที่มาของที่ 178 ไร่ แต่จากการไม่ทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมาของข้าราชการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลายหน่วยปัจจุบันที่ดินแปลงนี้ยังถูกบุกรุกครอบครองจากบุคคลที่ไม่เห็นแก่สมบัติของแผ่นดินหวังแต่จะได้ประโยชน์ส่วนตน และประจวบกับที่ดินจังหวัดภูเก็ตแพงมากจนเป็นที่มาของผู้มีอำนาจต่างๆละเลยงานปราบปรามทำงานเฉพาะด้านมวลชนจนแถบที่จะไม่สามารถรักษาที่ดินแปลงนี้ไว้เป็นสมบัติของสาธารณะที่คนไทยทุกคนหรือนักท่องเที่ยวต่างชาติจากทั่วโลกใช้พื้นที่ร่วมกันได้
เรื่องที่ 3 พื้นที่ในอำเภอตะกั่วทุ่ง จังหวัดพังงา หลายตำบล เป็นพื้นที่ภูเขาสูงชัน และขณะเดียวกันพื้นที่ดังกล่าวมีการประกาศเป็นพื้นที่ป่าไม้ ป่าถาวร ป่าสงวนแห่งชาติหลายป่า แต่เนื่องจากการเข้ามาซึ่งการท่องเที่ยวทำให้มีการแสวงหาแหล่งท่องเที่ยวใหม่ เกิดขึ้นต่อเนื่อง จากเจ้าของเหมืองแร่ เจ้าของประทานบัตรเหมืองแร่ เจ้าของสัมปทานป่าไม้ในอดีต กลายเป็นผู้ครอบครองที่ดินบนภูเขาสูงชันมีการบุกรุกปลูกยางพารา ทุเรียนสะตอและผลอาสินอื่น ซึ่งดูแล้วยังคงมีความเขียว
แต่เมื่อเจ้าหน้าที่ป่าไม้ในยุคปัจจุบัน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมปัจุบัน เจ้าหน้าที่ปกครองปัจจุบัน มีการเปิดทางให้นายทุน ทำไม้ออกจากพื้นที่ภูเขาสูงชันชาวบ้านผู้นำท้องถิ่นและนักอนุรักษ์ในพื้นที่มีความหวั่นเกรงว่า หากข้าราชการไทย ปล่อยให้นายทุน เข้าไปอยู่ในป่าไม้ป่าสงวนแห่งชาติ ป่าถาวรได้ ก็ควรให้มีมติคณะรัฐมนตรีอนุญาตให้เสียเลย จะได้ไม่ต้องแอบอ้างว่านายทุนผู้มีอิทธิพลเป็นเกษตรกรหรือจ้างตัวแทนมาครอบครองพื้นที่ป่าที่มีสภาพเป็นภูเขาสูงชันแทนและควรจะเปลี่ยนคำจำกันความการเป็นเกษตรกรไทยเสียใหม่ กล่าวโดยสรุปคือพื้นที่ภูเขาสูงชันในพื้นที่อำเภอตะกั่วทุ่ง ปัจจุบันถูกบุกรุกครอบครองจากนายทุนโดยมีเจ้าหน้าที่ป่าไม้รู้เห็นเป็นใจ
เรื่องที่ 4 การดำเนินคดีของกรมสอบสวนคดีพิเศษ ต่อคดีบุกรุกป่าไม้ที่ดินหลายแห่งในพื้นที่ภาคใต้โดยเฉพาะพื้นที่ภาคใต้ตอนบน เป็นที่สนใจของประชาชนโดยทั่วไป และทำให้ประชาชนโดยทั่วไปมองเห็นความเป็นธรรมในสังคมเห็นความ เสมือนภาคในสังคม แต่จากการดำเนินคดีในการบุกรุกเขาแพง อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี ประชาชนเริ่มรู้สึกหวั่นต่อกระบวนการยุติธรรมของเมืองไทย และในคดีนี้คงเป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปแล้วว่าคดีไปถึงไหน และจากการติดตามข้อมูลข่าวสาร น่าเชื่อว่าคดีนี้มีความไม่ธรรมและอาจจะมีความพิเศษเกิดขึ้นในสังคมไทย ล่าสุดทราบว่าคดีนี้อยู่ในชั้นการพิจารณาของสำนักงานอัยการสูงสุด จึงไม่มั่นใจว่าข้าราชการไทยโดยเฉพาะสำนักงานอัยการที่ได้ชื่อว่า เป็นทนายของแผ่นดินทำหน้าที่ทนายของแผ่นดินครบถ้วนทุกด้านหรือไม่ คดีนี้ชาวบ้านอยากเห็นการพิสูจน์ที่ให้หมดข้อสงสัย เนื่องจากในชั้นศาลต้นพิพากลงโทษผู้บุกรุกครอบครอง ในชั้นอุทธรณ์ยกฟ้อง ฉะนั้น สำนักงานอัยการสูงสุดควรจะฎีกา เพื่อให้ศาลฎีกา ศาลสูงสุดของไทยได้พิสูจน์ตามขบวนการยุติธรรมของเมืองไทยหรือไม่

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา