ศาลอาญาคดีทุจริตฯ พิพากษาจำคุกดาบตำรวจตรวจคนเข้าเมืองพร้อมพวกรวม 6 คน สมคบกันกักขังล่าม-ชาวจีน ก่อนตกลงเรียกเงินสิบล้าน แลกไม่ดำเนินคดีต่างด้าว-เผยจำเลยที่ 1-5 เป็น ตร.โดยโทษคุก 15 ปี ส่วนจำเลยที่ 6 ไม่ใช่ ตร.โดนโทษคุก 10 ปี
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่าเมื่อวันที่ 12 ก.พ. ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบได้เผยแพร่เอกสารข่าวแจก ในกรณีที่ศาลอาญาฯ ได้อ่านคำพิพากษาจำคุกเป็น แก่ดาบตำรวจและพวกรวม 6 คน โดยดาบตำรวจและพวกรวม 5 คนซึ่งทั้งหมดเป็นเจ้าหน้าที่รัฐถูกจำคุก 15 ปี และจำเลยที่ 6 ซึ่งไม่ใช่เจ้าหน้าที่รัฐถูกจำคุก 10 ปี ในคดีที่พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีปราบปรามการทุจริต 2 ฟ้องจำเลยทั้ง 6 คนว่ามีพฤติการณ์เป็นเจ้า พนักงานร่วมกันปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและโดยทุจริต เรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สิน และหน่วงเหนี่ยวกักขังชาวจีนและล่าม
โดยเอกสารข่าวแจกระบุว่า วันนี้ (12 กุมภาพันธ์ 2567) เวลา 9.30 นาฬิกา ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางอ่านคำพิพากษา ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อท 94/2566 คดีอาญาหมายเลขแดงที่ อท 24/2567 ระหว่างพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีปราบปรามการทุจริต 2 โจทก์ ดาบตำรวจ พ. ที่ 1 กับพวกรวม 6 คน จำเลย
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 ซึ่งเป็นข้าราชการตำรวจ สังกัดกองกำกับการสืบสวนกองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 1 ควบคุมตัวผู้เสียหายทั้งสองขึ้นรถยนต์เป็นพาหนะ ไปที่ทำการกองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 1 บริเวณศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ แล้วไม่นำตัวผู้เสียหายเข้าสำนักงานฯ แต่กลับขับรถพาผู้เสียหายทั้งสองวนไปสถานที่ต่าง ๆ และเจรจาต่อรองเรียกเงินจากผู้เสียหายที่ 1 เพื่อแลกกับการไม่ดำเนินคดีแก่ผู้เสียหายที่ 1 ซึ่งเป็นบุคคลต่างด้าวมีบัตรประจำตัวประชาชนคนไทยโดยมิชอบ
จำเลยที่ 6 ไม่ได้เป็นเจ้าหนักงานแต่เป็นผู้ร่วมวางแผนและนัดหมายผู้เสียหายให้ไปพบ เพื่อให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 จับกุมและเรียกรับเงิน ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งหกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 86, 149, 157, 309, 310
ศาลพิเคราะห์แล้ว พยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักให้ฟังได้มั่นคงว่า ตามวันเวลาเกิดเหตุจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 ซึ่งได้รับข้อมูลจากจำเลยที่ 6 แจ้งให้ทราบเกี่ยวกับผู้เสียหายที่ 1 บุคคลสัญชาติจีนมีบัตรประจำตัวประชาชนที่ออกให้โดยมิชอบ ออกปฏิบัติหน้าที่ติดตามไปพบผู้เสียหายที่ 1 ลักษณะเป็นบุคคลต่างด้าวมีพฤติการณ์อันควรสงสัย มีผู้เสียหายที่ 2 เป็นล่ามให้ จึงเชิญตัวบุคคลทั้งสองขึ้นรถยนต์ แล้วเจรจาเรียกเงินจากผู้เสียหายที่ 1 จนกระทั่งตกลงกันได้เป็นเงิน 10,000,000 บาท
โดยบุตรชายผู้เสียหายที่ 1โอนเงินดิจิทัลเข้าหมายเลขบัญชีที่จำเลยที่ 2 แจ้งให้โอนเข้า แล้วจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 จึงปล่อยตัวบุคคลทั้งสองไป อันเป็นเจ้าพนักงานร่วมกันเรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สืน หรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ เพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่งไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่ และเป็นเจ้าพนักงานร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าโดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต
โดยมีจำเลยที่ 6 ร่วมกันกระทำความผิดดังกล่าวในลักษณะแบ่งหน้าที่กันเป็นตัวการสมคบร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 แต่เมื่อจำเลยที่ 6 มิได้เป็นเจ้าพนักงาน ขาดคุณสมบัติเฉพาะตัวตามที่กฎหมายกำหนดไว้โดยเฉพาะ จึงมีความผิดเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานเรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์ อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบเพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่งไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่ และสนับสนุนเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต โดยการกระทำของจำเลยทั้งหกดังกล่าวเป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท และเมื่อการกระทำของจำเลยทั้งหกเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 149 ซึ่งเป็นบทเฉพาะของบททั่วไปตามมาตรา 157 แล้ว ย่อมไม่จำต้องปรับบทความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ซึ่งเป็นบททั่วไปอีก
อย่างไรก็ตามเมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าในการเชิญผู้เสียหายทั้งสองไปเพื่อตรวจสอบสืบเนื่องจากผู้เสียหายที่ 1 เป็นบุคคลต่างด้าวมีลักษณะอันควรสงสัยว่ากระทำผิดกฎหมาย
โดยมีผู้เสียหายที่ 2 ร่วมเดินทางไปด้วยเพื่อเป็นล่าม ไม่ปรากฏพฤติการณ์ของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 อันมีลักษณะเป็นการใช้กำลังบังคับ ข่มขืนใจ หรือทำให้บุคคลทั้งสองกลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียงหรือทรัพย์สินของบุคคลดังกล่าวหรือของผู้อื่น นอกจากนี้เมื่อตามพฤติการณ์ช่วงเกิดเหตุผู้เสียหายที่ 1 ก็ไม่ต้องการให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 ดำเนินคดีแก่ตน จึงได้เจรจาต่อรองจำนวนเงินที่จะต้องจ่ายให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 โดยผู้เสียหายที่ 2 ก็ช่วยผู้เสียหายที่ 1 เจรจาต่อรองและขอแบ่งเงินจากจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5
กรณีจึงฟังไม่ได้ว่าการกระทำของจำเลยทั้งหกเป็นการร่วมกันหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังหรือกระทำด้วยประการใดให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย และร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด ไม่กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใดโดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียงหรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจนั้นเองหรือของผู้อื่น การกระทำของจำเลยทั้งหกจึงไม่เป็นความผิดดังกล่าว
พิพากษาว่า จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 ประกอบมาตรา 83 จำเลยที่ 6 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 ประกอบมาตรา 86 ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 คนละ 15 ปี และลงโทษจำคุกจำเลยที่ 6 เป็นเวลา 10 ปี
โดยคดีนี้ศาลได้ดำเนินกระบวนพิจารณาจำนวน 8 นัด รวมระยะเวลานับตั้งแต่วันฟ้อง (วันที่ 13 มิถุนายน 2566) ถึงวันอ่านคำพิพากษาเป็นเวลา 7 เดือน 30 วัน