
สำนักงานชี้ขาดคดีอัยการสูงสุด ชี้ขาดไม่ฎีกา คดีพก 'แบลงค์กัน' เหตุเป็นสิ่งเทียมอาวุธปืน-ยังไม่มีการดัดแปลง
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ นางสาวอุไรรักษ์ เจียมอ่อน รองอธิบดีอัยการ สำนักงานชี้ขาดคดี อัยการสูงสุด ปฏิบัติราชการแทนอธิบดีอัยการ สำนักงานชี้ขาดคดีอัยการสูงสุด มีบันทึกข้อความถึง อธิบดีอัยการ สำนักงานคดีศาลสูงภาค 2 เรื่อง ชี้ขาดความเห็นแย้งฎีกา เกี่ยวกับคดีที่ชายรายหนึ่งในจังหวัดสระแก้วพกอาวุธปืนแบลงค์กัน (BLANK GUN) ไปในพื้นที่สาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัว
อัยการสูงสุดพิจารณาแล้วเห็นว่า ปืนแบลงค์กันไม่สามารถส่งกระสุนปืนออกมาจากทางลำกล้องปืนได้ เนื่องจากลำกล้องปืนมีลักษณะตัน หากมีการยิงจะมีเพียงเสียงดังและแสงวาบเท่านั้น จึงเป็นเพียงสิ่งเทียมอาวุธปืนเท่านั้น และยังไม่มีการดัดแปลงแต่อย่างใด และสำนักงานอัยการสูงสุดเคยมีคำสั่งชี้ขาดไม่ฟ้องคดีเกี่ยวกับการมีแบลงค์กัน (BLANK GUN) ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตไว้แล้ว จึงชี้ขาดไม่ฎีกา
มีรายละเอียด ดังนี้
บันทึกข้อความ ส่วนราชการ สำนักงานชี้ขาดคดีอัยการสูงสุด สำนักงานอัยการสูงสุด (สฝชข.4) ที่ อส 0030.4/ 1050 วันที่ 5 กันยายน 2567 เรื่อง ชี้ขาดความเห็นแย้งฎีกา (ชฎ.29/2567)
เรียน อธิบดีอัยการ สำนักงานคดีศาลสูงภาค 2
ด้วยผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 ส่งสำนวนวนคดีอาญา ส.1 เลขรับที่ 187/2566 ของสำนักงานอัยการจังหวัดสระแก้ว คดีระหว่าง พนักงานอัยการจังหวัดสระแก้ว โจทก์ นายดำเนิน หรือเนิน ศิริสวัสดิ์ จำเลย ฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะ โดยไม่ได้มีเหตุสมควร โดยไม่ได้รับใบอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัวและโดยไม่มีเหตุจำเป็นเร่งด่วนตามสมควรแก่พฤติการณ์ ตามคดีอาญาหมายเลขดำที่ 949/2566 คดีอาญาหมายเลขแดงที่ 931/2566 ของศาลจังหวัดสระแก้ว พร้อมความเห็นแย้งคำสั่งไม่ฎีกา เสนออัยการสูงสุดเพื่อพิจารณาชี้ขาด
อัยการสูงสุดพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีได้ความจากการได้สวนนายธวัฒเชัย บุญแสง ปลัดอำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว ซึ่งได้รับมอบหมายจากนายทะเบียนอาวุธปืนท้องที่เกิดเหตุได้เบิกความยืนยันว่าอาวุธปืนของกลาง เป็นปืนแบลงค์กันไม่สามารถส่งกระสุนปืนออกมาจากทางลำกล้องปืนได้ เนื่องจากลำกล้องปืนมีลักษณะตัน หากมีการยิงจะมีเพียงเสียงดังและแสงวาบเท่านั้น ของกลางดังกล่าวจึงเป็นเพียงสิ่งเทียมอาวุธปืนเท่านั้น และยังไม่มีการดัดแปลงแต่อย่างใด
ประกอบกับสำนักงานอัยการสูงสุดได้เคยมีหนังสือสำนักงานอัยการสูงสุด ที่ อส 0030.4/9060 ลงวันที่ 28 มิถุนายน 2564 เรื่อง ชี้ขาดความเห็นแย้ง โดยมีคำสั่งชี้ขาดไม่ฟ้องคดีเกี่ยวกับการมีแบลงค์กัน (BLANK GUN) ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตไว้แล้ว ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับให้ยกฟ้อง จึงชอบด้วยเหตุผลแล้ว คดีไม่มีเหตุฎีกา
จึงชี้ขาดไม่ฎีกา
ทั้งนี้ ได้แจ้งผู้บัญชาการดำรารวธรภาค 2 ทราบคำชี้ค่าชี้ขาดความเห็นแย้งฎีกาแล้ว
ฉะนั้น จึงส่งสำนวนคดีอาญาดังกล่าวคืนเพื่อดำเนินการต่อไป และเมื่อได้รับสำนวนแล้ว ขอให้รายงานอัยการสูงสุดทราบด้วย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศูนย์ปราบปรามผู้มีอิทธิพล มือปืนรับจ้างและผู้ร้ายสำคัญ (ศปอร.ตร.) ให้ข้อมูลว่า 'แบลงค์กัน (Blank Guns)' หรือ สิ่งเทียมอาวุธปืน ที่นิยมใช้ในการแสดง ไม่สามารถใช้กระสุนจริงได้ โดยหลักการทั่วไปของแบลงค์กันนั้น สามารถบรรจุกระสุนได้ แต่ต้องเป็นกระสุนที่ผลิตมาเพื่อใช้งานกับแบลงค์กันเท่านั้น เมื่อทำการเหนี่ยวไก ที่ปลายกระบอกจะมีไฟแล่บออกมาจากปากกระบอก (Front Firing) มีเสียงยิงที่เหมือนกับของจริง มีการคัดปลอกกระสุนออกมาเหมือนของจริง แต่ไม่มีกระสุนหรืออะไรวิ่งออกมาจากปลายกระบอกแบลงค์กัน แต่ปัจจุบันได้มีการนำเอาโคลงปืน 'แบลงค์กัน' ไปดัดแปลงเพื่อใช้กระสุนจริงยิงได้ เช่น กรณีเยาวชน 'กราดยิงพารากอน' ที่ผู้ก่อเหตุใช้ปืนแบลงค์กันแบบดัดแปลงมาก่อเหตุ เมื่อเดือนต.ค. 2566 เป็นต้น
ทั้งนี้ปืนแบลงค์กันที่ถูกดัดแปลงให้ส่งเครื่องกระสุนปืนออกได้นั้น เข้าข่ายมีความผิดฐาน "มีและใช้อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนโดยไม่ไม่ได้รับอนุญาต" มีโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ในส่วนของผู้ที่ดัดแปลง สั่ง นำเข้า หรือจำหน่าย ปืนแบลงค์กัน ให้สามารถส่งเครื่องกระสุนปืนออกได้นั้น เข้าข่ายความผิดฐาน "ประกอบ ซ่อมแขม เปลี่ยนลักษณะ สั่ง นำเข้า มีหรือจำหน่าย ซึ่งอาอาวุธปืนหรือเครื่องกระสุนปืนสำหรับการค้า โดยไม่ได้รับอนุญาต" มีโทษจำคุก ตั้งแต่ 2 ถึง 20 ปี และปรับตั้งแต่ 4,000-40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา