
‘สศค.’ เปิดรับฟังความคิดเห็น ‘ร่าง พ.ร.บ.ศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงิน’ ส่งเสริมไทยเป็น ‘Financial Hub’
........................................
เมื่อวันที่ 4 ม.ค. สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อเร็วๆนี้ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กระทรวงการคลัง ได้เปิดรับฟังความคิดเห็น ร่าง พ.ร.บ.ศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงิน พ.ศ. .... เพื่อส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางทางการเงินของโลก และดึงดูดผู้ประกอบธุรกิจทางการเงินจากต่างประเทศให้มาประกอบธุรกิจในไทย โดย สศค.จะเปิดรับฟังความคิดเห็น ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ ไปจนถึงวันที่ 9 ม.ค.2568
สำหรับร่าง พ.ร.บ.ศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงิน พ.ศ. ....ประกอบด้วย 9 หมวด 96 มาตรา สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
บททั่วไป
1.ร่าง พ.ร.บ.ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เว้นแต่บทบัญญัติในหมวด 4 การอนุญาตให้ประกอบธุรกิจเป้าหมาย หมวด 5 การส่งเสริมและสิทธิประโยชน์ และหมวด 6 การกำกับดูแลการประกอบธุรกิจภายใต้การส่งเสริม ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนด 360 วันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา (มาตรา 2)
2.กำหนดนิยามของ ผู้ประกอบธุรกิจ ธุรกิจเป้าหมาย ธุรกิจธนาคารพาณิชย์ ธุรกิจบริการการชำระเงิน ธุรกิจหลักทรัพย์ ธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล ธุรกิจประกันภัย ธุรกิจนายหน้าประกันภัยต่อ ผู้มีอำนาจในการจัดการ ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ผู้มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศ หน่วยงานของรัฐ คณะกรรมการ สำนักงาน ผู้อำนวยการ พนักงานเจ้าหน้าที่ และรัฐมนตรี (มาตรา 3)
3.ให้นายกรัฐมนตรีรักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ (มาตรา 5)
หมวด 1 คณะกรรมการกำกับและส่งเสริมศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงิน (มาตรา 6-14)
1.ให้คณะกรรมการประกอบด้วย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานกรรมการ กรรมการโดยตำแหน่ง 8 คน ประกอบด้วย ปลัดกระทรวงการคลัง ปลัดกระทรวงมหาดไทย ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา
เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน และ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจำนวนไม่น้อยกว่า 3 คน แต่ไม่เกิน 5 คน โดยต้องเป็นผู้ทรงคุณวุฒิด้านการเงิน ด้านกฎหมายทางการเงิน และด้านบัญชี ด้านละ 1 คน (มาตรา 6)
2.คณะกรรมการมีหน้าที่และอำนาจในการกำหนดนโยบายเพื่อส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็น Financial Hub กำหนดแนวทางการส่งเสริมธุรกิจเป้าหมาย กำหนดประเภทและขอบเขตของการอนุญาตในการประกอบธุรกิจเป้าหมาย กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไขในการขออนุญาต และพิจารณาการอนุญาต รวมทั้งการเพิกถอนการอนุญาต กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการส่งเสริมและสิทธิประโยชน์ในการประกอบธุรกิจเป้าหมาย ติดตามและประเมินผลการด าเนินการส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็น Financial Hub และกำกับดูแลสำนักงาน (มาตรา 10)
หมวด 2 สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงิน (มาตรา15-26)
1.ให้มีสำนักงานเป็นหน่วยงานของรัฐที่มีฐานะเป็นนิติบุคคลและไม่เป็นส่วนราชการ มีสำนักงานใหญ่อยู่ในกรุงเทพมหานครหรือสถานที่ที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดในราชกิจจานุเบกษา เพื่อส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็น Financial Hub ส่งเสริมให้มีการประกอบธุรกิจเป้าหมายในประเทศไทยส่งเสริมให้เกิดการถ่ายทอดความรู้ความเชี่ยวชาญ และกำกับดูแลการประกอบธุรกิจเป้าหมาย (มาตรา 15 และ 16)
หมวด 3 ผู้อำนวยการ (มาตรา 27-34)
1.ให้คณะรัฐมนตรีแต่งตั้งผู้อำนวยการสำนักงาน (มาตรา 27) ซึ่งต้องเป็นผู้มีความรู้ ความชำนาญ มีสัญชาติไทย มีอายุไม่เกิน 65 ปีในวันที่ได้รับแต่งตั้ง สามารถทำงานให้แก่สำนักงานได้เต็มเวลา และไม่มีลักษณะต้องห้ามตามที่ร่าง พ.ร.บ.กำหนด เช่น เคยดำรงตำแหน่งในธุรกิจเป้าหมายหรือธุรกิจด้านการเงินเว้นแต่จะพ้นจากตำแหน่งมาแล้วไม่น้อยกว่าหนึ่งปี เคยพ้นจากตำแหน่งเพราะขาดความเหมาะสมที่จะได้รับความไว้วางใจให้บริหารจัดการกิจการ เป็นต้น (มาตรา 28)
หมวด 4 การอนุญาตให้ประกอบธุรกิจเป้าหมาย (มาตรา 35-45)
1.ประเภทและขอบเขตของการอนุญาตในการประกอบธุรกิจเป้าหมายให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการกำหนด (มาตรา 35)
2.ไม่ให้นำกฎหมายว่าด้วยธุรกิจสถาบันการเงิน ระบบการชำระเงิน หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ สัญญาซื้อขายล่วงหน้า การประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล การประกันชีวิต และการประกันวินาศภัย มาบังคับใช้กับการประกอบธุรกิจเป้าหมายตามประเภทและขอบเขตของการอนุญาตที่คณะกรรมการกำหนด เว้นแต่ผู้ประกอบธุรกิจนั้นเป็นบริษัทในกลุ่มธุรกิจตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง (มาตรา 36)
3.ให้สถานที่ประกอบธุรกิจเป้าหมายตั้งอยู่ในบริเวณเขตพื้นที่ตามที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกา (มาตรา 37) และการประกอบธุรกิจเป้าหมายจะกระทำได้เฉพาะบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัด ซึ่งจดทะเบียนในประเทศไทย หรือสาขาของนิติบุคคลต่างประเทศ โดยได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการ (มาตรา 38)
4.ในกรณีที่มีเหตุอันอาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจและระบบการเงินของประเทศ หรือประโยชน์ของประชาชน ให้คณะกรรมการตามข้อเสนอแนะของสำนักงาน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) หรือสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) มีอำนาจกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ หรือเงื่อนไขเพิ่มเติมที่ผู้ประกอบธุรกิจใน Financial Hub ต้องปฏิบัติได้ หรือ ธปท. ก.ล.ต. และ คปภ. จะกำหนดหลักเกณฑ์วิธีการ หรือเงื่อนไขเพิ่มเติมก็ได้ โดยหารือร่วมกับคณะกรรมการ (มาตรา 39)
5.กรรมการ ผู้มีอำนาจในการจัดการ และผู้ถือหุ้นรายใหญ่ และกรรมการหรือผู้มีอำนาจในการจัดการของผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของนิติบุคคลที่ประสงค์จะยื่นคำขอประกอบธุรกิจเป้าหมายต้องมีคุณลักษณะและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามที่กำหนด เช่น เคยถูกถอดถอนหรือพ้นจากตำแหน่ง เคยกระทำการที่เข้าไปมีส่วนร่วมในการตัดสินใจใดอันอาจก่อให้เกิดผลประโยชน์ทับซ้อน (Conflict of interest) เป็นต้น (มาตรา 40)
6.ให้ผู้ประกอบธุรกิจใน Financial Hub ประกอบธุรกิจได้เฉพาะธุรกิจเป้าหมายตามประเภทและขอบเขตที่ได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการ (มาตรา 41) โดยไม่สามารถมอบการบริหารจัดการทั้งหมดหรือบางส่วน หรือยินยอมให้บุคคลอื่นเป็นผู้มีอำนาจประกอบธุรกิจแทนไม่ได้ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากสำนักงานก่อน (มาตรา 42) การขอต่ออายุและการขอรับใบแทนให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และอัตราค่าธรรมเนียมที่คณะกรรมการประกาศกำหนด (มาตรา 43 และ 44) และการจะเลิก ควบ หรือโอนการประกอบธุรกิจ ต้องขออนุญาตต่อคณะกรรมการ (มาตรา 45)
หมวด 5 การส่งเสริมและสิทธิประโยชน์ (มาตรา 46-52)
1.ให้ผู้ประกอบธุรกิจใน Financial Hub ได้รับการยกเว้นจากการจำกัดสิทธิของคนต่างด้าวตามกฎหมายว่าด้วยอาคารชุด (มาตรา 47) ได้รับสิทธิสิทธิในการนำคนต่างด้าวเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักร (มาตรา 48 และ 49) ถือว่าเป็นบุคคลที่มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศภายใต้กฎหมายว่าด้วยการควบคุมการแลกเปลี่ยนเงิน (มาตรา 50) และคณะกรรมการอาจประกาศให้สามารถประกอบวิชาชีพใดที่มีกฎหมายกำหนดให้ต้องมีสัญชาติไทยหรือต้องได้รับใบอนุญาต จดทะเบียน หรือรับรองก่อนการประกอบวิชาชีพในบริเวณเขตพื้นที่ตามที่กำหนดได้ (มาตรา 51)
2.ในกรณีที่เลิก ควบ หรือโอนการประกอบธุรกิจ ให้สิทธิและประโยชน์ใดๆ ใช้ได้ต่อไปอีกไม่เกิน 3 เดือน (มาตรา 52)
หมวด 6 การกำกับดูแลการประกอบธุรกิจภายใต้การส่งเสริม (มาตรา 53-65)
1.ผู้ประกอบธุรกิจใน Financial Hub ต้องชักชวน ขายสินค้า โฆษณา หรือให้บริการแก่ Non-resident เท่านั้น เว้นแต่เป็นการดำเนินการ ดังนี้ (1) การให้บริการในลักษณะเป็นตัวแทน นายหน้า ค้า จัดจำหน่ายหลักทรัพย์ สัญญาซื้อขายล่วงหน้า หรือสินทรัพย์ดิจิทัล ในต่างประเทศ และ (2) การชักชวน ขายสินค้า โฆษณา หรือให้บริการแก่ผู้มีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทยในลักษณะอื่นตามที่คณะกรรมการกำหนด (มาตรา 53)
2.คณะกรรมการมีอำนาจประกาศกำหนดหลักเกณฑ์การประกอบธุรกิจใน Financial Hub ตามที่กำหนด เช่น การกำกับดูแลฐานะทางการเงินและผลการดำเนินงาน มาตรฐานในการประกอบธุรกิจ การเก็บรักษา และการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้าหรือผู้บริโภค การคุ้มครองลูกค้าหรือผู้บริโภค เป็นต้น (มาตรา 54)
3.ผู้ประกอบธุรกิจใน Financial Hub ต้องมีสถานที่ประกอบธุรกิจเป้าหมายเป็นหลักแหล่งตั้งอยู่ในบริเวณเขตพื้นที่ตามที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกา และมีจำนวนและสัดส่วนของพนักงานคนไทยและคนต่างด้าวในสถานที่ประกอบธุรกิจเป้าหมายตามที่คณะกรรมการประกาศกำหนด (มาตรา 55) และต้องมีการเก็บรักษาเงินหรือทรัพย์สินของลูกค้าหรือผู้บริโภค และต้องจัดท าบัญชีเงินหรือทรัพย์สินของลูกค้าหรือผู้บริโภคแยกแต่ละราย (มาตรา 56)
ห้ามตั้งหรือยอมให้บุคคลซึ่งมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 40 เป็นหรือทำหน้าที่เป็นกรรมการผู้มีอำนาจในการจัดการ หรือผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของผู้ประกอบธุรกิจ (มาตรา 47) และการแต่งตั้งกรรมการหรือผู้มีอำนาจในการจัดการของผู้ประกอบธุรกิจ จะต้องได้รับความเห็นชอบจากส านักงานก่อน (มาตรา 48)
4.ห้ามมิให้ผู้ประกอบธุรกิจใน Financial Hub จำหน่ายหุ้นจนเป็นเหตุให้บุคคลใดเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากสำนักงาน (มาตรา 59) หากฝ่าฝืนจะต้องนำหุ้นในส่วนที่เกินออกจำหน่ายแก่บุคคลอื่นภายใน 90 วันนับแต่วันที่ได้รับหุ้นนั้นมา (มาตรา 60) และจะจ่ายเงินปันผลหรือผลตอบแทนให้แก่บุคคลนั้นไม่ได้หรือให้บุคคลนั้นออกเสียงลงคะแนนในที่ประชุมผู้ถือหุ้นตามจำนวนหุ้นในส่วนที่เกินไม่ได้ (มาตรา 61)
5.หากผู้ประกอบธุรกิจใน Financial Hub ไม่ประกอบธุรกิจหรือหยุดประกอบธุรกิจ คณะกรรมการอำนาจเพิกถอนการอนุญาต (มาตรา 63) หรือกรณีมีฐานะทางการเงินหรือการดำเนินงานที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชน สำนักงานอาจสั่งให้ผู้แก้ไขให้ถูกต้องภายในระยะเวลาที่กำหนด หรืออาจเสนอให้คณะกรรมการพิจารณาเพิกถอนการอนุญาตได้ (มาตรา 64)
และในกรณีที่การดำเนินกิจการอาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจหรือระบบการเงินของประเทศ หรือประโยชน์ของประชาชนอย่างมีนัยสำคัญ ให้คณะกรรมการสั่งระงับการดำเนินกิจการ หรือเพิกถอนการอนุญาตผู้ได้ (มาตรา 65)
หมวด 7 พนักงานเจ้าหน้าที่ (มาตรา 66-68)
พนักงานเจ้าหน้าที่ของสำนักงานสามารถ (1) เข้าไปในสถานที่ประกอบธุรกิจหรือสถานที่ตั้งของผู้ประกอบธุรกิจใน Financial Hub เพื่อตรวจสอบกิจการ สินทรัพย์ และหนี้สิน รวมทั้งสมุดบัญชีเอกสาร หลักฐานระบบคอมพิวเตอร์ หรือข้อมูล (2) ยึดหรืออายัดทรัพย์สิน เอกสาร หลักฐาน หรือระบบคอมพิวเตอร์ที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด เพื่อประโยชน์ในการตรวจสอบหรือดำเนินคดี
และ (3) สั่งให้กรรมการ พนักงาน ลูกจ้างหรือผู้สอบบัญชีของผู้ประกอบธุรกิจใน Financial Hub มาให้ถ้อยคำ ส่งสำเนา หรือแสดงสมุดบัญชีเอกสารดวงตรา หรือหลักฐานอื่นเกี่ยวกับการด าเนินกิจการ (มาตรา 66-68)
หมวด 8 โทษทางอาญา (มาตรา 69-89)
กำหนดโทษทางอาญาในกรณีที่เป็นการกระทำผิดร้ายแรง เช่น การประกอบธุรกิจเป้าหมายโดยไม่ได้รับอนุญาต การไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ในกรณีที่อาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจและระบบการเงินของประเทศ การประกอบธุรกิจที่นอกเหนือจากที่ได้รับอนุญาต (มาตรา 72) การกระทำผิดของกรรมการ ผู้จัดการ หรือผู้มีอำนาจในการจัดการของผู้ประกอบธุรกิจที่เป็นการหลอกลวงประชาชนหรือทุจริต เป็นต้น (มาตรา 69-88) และกำหนดให้ความผิดอาญาบางฐานสามารถเปรียบเทียบปรับได้ (มาตรา 89)
หมวด 9 มาตรการปรับเป็นพินัย (มาตรา 90-91)
กำหนดมาตรการปรับเป็นพินัยในกรณีที่กระทำผิดที่ไม่ร้ายแรง เช่น การไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์เกี่ยวกับสถานที่ประกอบกิจการ ลักษณะต้องห้ามของผู้ประกอบกิจการ การคุ้มครองผู้บริโภค การควบรวมกิจการ เป็นต้น (มาตรา 90 และ 91)
บทเฉพาะกาล
1.ให้รัฐบาลจัดสรรทุนประเดิมให้แก่สำนักงานตามความจำเป็น (มาตรา 92)
2.ในวาระเริ่มแรกให้คณะกรรมการโดยตำแหน่งปฏิบัติหน้าที่ไปพลางก่อน โดยให้มีการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิให้แล้วเสร็จภายใน 90 วัน (มาตรา 93) ให้ข้าราชการ พนักงาน ลูกจ้างหรือผู้ปฏิบัติงานในหน่วยงานของรัฐที่รัฐมนตรีแต่งตั้ง ทำหน้าที่ผู้อำนวยการไปพลางก่อน โดยให้มีการแต่งตั้งผู้อำนวยการให้แล้วเสร็จภายใน 180 วัน (มาตรา 94) ให้ดำเนินการจัดตั้งสำนักงานให้แล้วเสร็จภายใน 180 วัน (มาตรา 95) และให้ข้าราชการ พนักงานลูกจ้าง หรือ ผู้ปฏิบัติงานอื่นใดในส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐ มาปฏิบัติงานเป็นพนักงานของสำนักงานเป็นการชั่วคราวภายในระยะเวลาที่คณะรัฐมนตรีกำหนด (มาตรา 96)
“ในปัจจุบันผู้ประกอบธุรกิจทางการเงินในศูนย์กลางทางการเงินของหลายประเทศ อาจเผชิญปัญหาค่าเช่าและค่าครองชีพที่สูงขึ้น ทำให้ผู้ประกอบธุรกิจทางการเงินมีแรงจูงใจที่จะย้ายสำนักงานออกจากพื้นที่เดิม และมองหาพื้นที่ใหม่ที่ต้นทุนการทำธุรกิจไม่สูงจนเกินไป ประกอบกับประเทศไทยมีปัจจัยที่สามารถดึงดูดผู้ประกอบธุรกิจทางการเงินต่างประเทศ เช่น ค่าครองชีพที่ต่ำกว่า ทักษะแรงงานไทย โครงสร้างพื้นฐานด้านการเงินไทยที่พัฒนามากกว่าหลายประเทศในภูมิภาค เป็นต้น
ดังนั้น การพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางทางการเงิน จึงเป็นโอกาสของประเทศไทยที่จะสามารถดึงดูดต่างประเทศให้เข้ามาลงทุนในประเทศได้ โดยธุรกิจภายใต้ศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงิน สามารถให้บริการแก่ผู้มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศ (Non-resident) เว้นแต่กิจกรรมการมีส่วนร่วมในตลาด (Market Participant)
ทั้งนี้ การดึงดูดผู้ประกอบธุรกิจทางการเงินต่างประเทศให้เข้ามาอยู่ในประเทศไทย จะทำให้แรงงานที่มีทักษะด้านการเงินจากต่างประเทศเข้ามาทำงานในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น อีกทั้งจะทำให้เกิดการพัฒนาธุรกิจทางการเงินในประเทศไทย มีจำนวนตำแหน่งงานด้านการเงินเพิ่มมากขึ้น รวมถึงเกิดธุรกิจด้านการเงินและธุรกิจเกี่ยวเนื่องหรือสนับสนุนด้านการเงินเพิ่มมากขึ้น ซึ่งก่อให้เกิดการจ้างงานในประเทศไทยและสามารถจูงใจให้แรงงานไทยสนใจเข้ามาทำงานในธุรกิจทางการเงินเพิ่มขึ้น รวมทั้งทำให้เกิดการถ่ายทอดทักษะองค์ความรู้และเทคโนโลยีจากผู้ประกอบธุรกิจทางการเงินต่างประเทศให้แก่แรงงานไทย
นอกจากนี้ ด้วยทรัพยากรบุคคลที่เพิ่มมากขึ้น ประกอบกับกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจากศูนย์กลางทางการเงิน จะทำให้ประเทศไทยสามารถจัดเก็บรายได้ได้เพิ่มขึ้นและผลักดันให้เศรษฐกิจไทยสามารถเติบโตได้เต็มประสิทธิภาพต่อไป” สศค. ระบุ
รายงานข่าวแจ้งว่า เมื่อวันที่ 12 ก.ย.2567 น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้แถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีต่อรัฐสภา โดยหนึ่งในนโยบายที่สำคัญของรัฐบาล คือ จะทำให้ประเทศไทยเป็นหนึ่งในศูนย์กลางการเงินของโลก (Financial Hub) โดยรัฐบาลจะผลักดันการยกร่างกฎหมายชุดใหม่ที่มีความเป็นสากล โปร่งใส และเอื้อต่อการประกอบธุรกิจ ออกแบบสิทธิประโยชน์ที่จูงใจนักลงทุน และพัฒนาระบบนิเวศของอุตสาหกรรมการเงิน โดยเฉพาะการพัฒนาบุคลากรและโครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัยให้สอดรับกับความต้องการของบริษัทด้านการเงินระดับโลก
อ่านเพิ่มเติม : ร่างพระราชบัญญัติศูนย์กลางการประกอบธุรกิจทางการเงิน พ.ศ. ....
อ่านประกอบ :
คำแถลงนโยบาย‘ครม.แพทองธาร’: 10 นโยบาย'เร่งด่วน-ทำทันที'มุ่ง'แก้หนี้-ลดรายจ่าย-กระตุ้นศก.'
‘เศรษฐา’ประกาศ‘Thailand Vision’ ตั้งเป้าผลักดัน‘ไทย’รั้งผู้นำ 8 'ศูนย์กลางฯ'ในภูมิภาค

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา