
ครม.รับทราบข้อเสนอแนะมาตรการ ‘คุ้มครองเด็ก’ จากโศกนาฏกรรมรถทัศนศึกษา 'กสม.' เสนอกำหนดมาตรการ 'ช่วงเปลี่ยนผ่าน' เพื่อยกเลิกการใช้ ‘รถโดยสารสองชั้น-รถที่ติดตั้ง CNG’ เป็น ‘รถทัศนศึกษา-รถโดยสารสาธารณะ’
.....................................
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 7 ม.ค.ที่ผ่านมา ที่ประชุม ครม. มีมติรับทราบข้อเสนอแนะมาตรการความปลอดภัยเพื่อคุ้มครองเด็กตามหลักสิทธิจากโศกนาฏกรรมรถทัศนศึกษา ตามที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เสนอ พร้อมทั้งมอบหมายให้กระทรวงคมนาคมเป็นหน่วยงานหลักรับเรื่องนี้ไปพิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และสรุปผลการพิจารณาเสนอ ครม.ต่อไป
สำหรับข้อเสนอแนะมาตรการความปลอดภัยเพื่อคุ้มครองเด็กตามหลักสิทธิจากโศกนาฏกรรมรถทัศนศึกษา ของ กสม. มีดังนี้
1.ให้ ครม. กำหนดให้ความปลอดภัยทางถนนเป็นนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล เพื่อยุติการเสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุบนท้องถนน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มเด็กและเยาวชน โดยมอบหมายให้มีหน่วยงานที่รับผิดชอบภาพรวม (single command) เพื่อติดตามสถานการณ์การเกิดอุบัติเหตุทางถนน สั่งการ กำกับดูแล และติดตามมาตรการลดอุบัติเหตุต่างๆ ตลอดจนประเมินผลการดำเนินการ และรายงานให้ ครม. ทราบความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง
รวมถึงพิจารณามาตรการหรือกำหนดหลักเกณฑ์และช่วงเวลาในการเปลี่ยนผ่าน เพื่อยกเลิกการใช้รถโดยสารสองชั้นและรถที่ติดตั้งถังก๊าซธรรมชาติอัด (CNG) เป็นเชื้อเพลิงมาใช้เป็นรถทัศนศึกษาและรถโดยสารสาธารณะ
2.ให้ ครม. มอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการบังคับใช้กฎหมายและระเบียบเกี่ยวกับความปลอดภัยทางถนน ดังนี้
(1) ให้กรมการขนส่งทางบกเพิ่มความเข้มงวดในการขออนุญาตประกอบการขนส่งไม่ประจำทางด้วยรถโดยสาร การต่ออายุใบอนุญาตประกอบการขนส่งไม่ประจำทาง และการขออนุญาตแก้ไขดัดแปลงสาระสำคัญของรถตามกฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางบก รวมถึงการตรวจสอบ กำกับสถานประกอบการเอกชนและผู้ประกอบวิชาชีพที่ทำหน้าที่ออกหรือต่อใบอนุญาตให้เป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัยอย่างเคร่งครัด โดยร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจตราและบังคับใช้กฎหมายกับรถโดยสารสาธารณะที่ถูกดัดแปลงหรือไม่ได้รับการต่อใบอนุญาต
(2) ให้กระทรวงศึกษาธิการร่วมกับกรมการขนส่งทางบก ดำเนินการตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการพานักเรียน และนักศึกษาไปนอกสถานศึกษา พ.ศ.2562 และที่แก้ไขเพิ่มเติมอย่างเคร่งครัด อาทิ การตรวจสอบสภาพรถทัศนศึกษาหรือยานพาหนะให้อยู่ในสภาพดีและพร้อมใช้งานได้อย่างปลอดภัย การมีแบบฟอร์มประกอบการตรวจสอบสภาพรถและอุปกรณ์ต่างๆ ก่อนการเดินทางโดยผู้ประกอบวิชาชีพ
รวมถึงการกำหนดหลักเกณฑ์คัดเลือกพนักงานขับรถทัศนศึกษาที่มีประสบการณ์ ผ่านการอบรมทักษะการรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินต่างๆ และจัดให้มีพนักงานประจำรถที่สาธิตและแนะนำวิธีการรับมือหากเกิดอุบัติเหตุ โดยกำหนดเป็นเงื่อนไขไว้ในสัญญาที่จัดหารถทัศนศึกษาพร้อมประกันการเดินทางด้วยทุกครั้ง
(3) ให้กระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงมหาดไทยกำชับสถานศึกษาทุกแห่งในสังกัด ให้ปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการควบคุมดูแลการใช้รถโรงเรียน พ.ศ.2562 อย่างเคร่งครัด รวมทั้งให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพิ่มความเข้มงวดในการตรวจตรารถที่นำมาใช้รับส่งนักเรียน เพื่อให้เดินทางไปกลับโรงเรียนอย่างปลอดภัย
3.ให้กระทรวงศึกษาธิการเร่งรัดปรับปรุงหลักเกณฑ์การจัดทัศนศึกษา ให้สอดคล้องกับช่วงวัยของเด็กและเยาวชนที่จะต้องได้รับการพัฒนาและความปลอดภัย รวมทั้งจัดทำหลักสูตรการเรียนการสอนเป็นรายวิชาภาคบังคับ ที่มีเนื้อหาการผชิญเหตุฉุกเฉินหรือการเตรียมความพร้อมหากเกิดอุบัติเหตุให้กับเด็ก ตั้งแต่ระดับปฐมวัย ประถมศึกษา และมัธยมศึกษา รวมถึงกำหนดชั่วโมงเรียนเพื่อฝึกปฏิบัติและเตรียมความพร้อมเผชิญเหตุทุกปี
รายงานข่าวแจ้งว่า การจัดทำข้อเสนอแนะฯของ กสม. ดังกล่าว มีขึ้นหลังจากเกิดเหตุการณ์รถทัศนศึกษาของโรงเรียนวัดเขาพระยาสังฆาราม จังหวัดอุทัยธานี ประสบอุบัติเหตุเมื่อวันที่ 1 ต.ค.2567 ส่งผลให้นักเรียนและครูได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก
โดย กสม.ได้ประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและผู้ทรงคุณวุฒิเกี่ยวกับมาตรการความปลอดภัยเพื่อคุ้มครองเด็ก เมื่อวันที่ 11 ต.ค.2567 และได้รับทราบว่า เหตุการณ์โศกนาฎกรรมรถทัศนศึกษาดังกล่าว มีสาเหตุเบื้องต้นจากอุปกรณ์หรือชิ้นส่วนของรถชำรุดและมีประกายไฟ ทำให้เชื้อเชื้อเพลิงหลักของรถคือก๊าซธรรมชาติอัด (CNG) ติดไฟและไหม้อย่างรวดเร็ว ซึ่งรถคันดังกล่าวถูกดัดแปลงเพื่อติดตั้งถังก๊าซ CNG มากกว่าจำนวนที่จดแจ้งต่อกรมการขนส่งทางบก อีกทั้งคนขับรถไม่ช่วยเหลือผู้ที่อยู่ในรถและประตูฉุกเฉินไม่สามารถเปิดออกได้ ทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 23 คน
กสม.ระบุว่า ประเทศไทยมีอัตราการเกิดอุบัติเหตุทางถนนสูง ตามรายงานสถานการณ์ความปลอดภัยทางถนนโลก (Global Status Report on Road Safety) ปี 2566 ที่จัดทำโดยองค์การอนามัยโลก (WHO) พบว่าประเทศไทยมีอัตราผู้เสียชีวิตทางถนน 25 คนต่อประชากร 100,000 คน ในขณะที่ทั่วโลกมีอัตราผู้เสียชีวิตเพียง 15 คนต่อประชากร 100,000 คน เฉพาะในปี 2567 มีผู้เสียชีวิตไปแล้ว 10,854 ซึ่งเป็นเด็กและเยาวชนอายุระหว่าง 1-24 ปี ถึงร้อยละ 21.93 ในขณะที่แผนแม่บทความปลอดภัยทางถนนกำหนดเป้าหมายลดอัตราการตายในปี 2570 ลงร้อยละ 50 หรือให้เหลือ 12 คนต่อประชากร 100,000 คน
นอกจากนี้ กรมควบคุมโรคคาดการณ์ว่า หากไม่สามารถขับเคลื่อนแก้ไขปัญหาตามแผนแม่บทฯ ได้อย่างมีประสิทธิภาพในช่วงระหว่างปี 2563-2573 จะมีเด็กและเยาวชนเสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนนเพิ่มขึ้นเป็น 40,421 คน หรือเฉลี่ยปีละ 3,675 คน
กสม. ระบุด้วยว่า ในปี 2567 พบว่า มีรถรับส่งนักเรียนและรถทัศนศึกษาเกิดอุบัติเหตุหลายครั้ง แม้ ครม.ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามแนวทางมาตรการด้านความปลอดภัยของรถรับส่งนักเรียน รวมถึงมีกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องแล้วก็ตาม แต่ยังไม่มีผลในทางปฏิบัติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังขาดการบังคับใช้อย่างจริงจัง จึงมีรถรับส่งนักเรียนจำนวนมากที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนตามกฎหมายบางส่วนตัดแปลงสภาพและนำมาใช้เป็นรถรับส่งนักเรียนที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัย จนทำให้เกิดอุบัติเหตุและความสูญเสีย
กสม. เห็นว่า รัฐยังประสบปัญหาการดำเนินการตามนโยบายความปลอดภัยทางถนนการบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวกับการใช้รถทัศนศึกษา การใช้รถโดยสารสาธารณะและรถรับส่งนักเรียน การเตรียมพร้อมเผชิญเหตุฉุกเฉินสำหรับเด็กและเยาวชน จึงต้องเสนอให้ ครม.กำหนดนโยบายและมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ดำเนินการเพื่อส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนดังกล่าว

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา