
กฟภ.ตัดไฟฟ้า 5 จุด ชายแดนไทย-เมียนมาตามคำสั่ง สมช.เหตุกระทบความมั่นคง 'อนุทิน'เผยไม่หวั่นโดนฟ้องเพราะผิดสัญญา เผยเสียรายได้ 600 ล้านบาทต่อปี แต่ไม่ถึง 1% ของกำไร
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า สืบเนื่องจากการประชุมสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2568 เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ประชุมแจ้งว่า การจำหน่ายไฟฟ้าของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) ให้สารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา พบข้อมูลที่มีการนำไฟฟ้าไฟฟ้าไปใช้ไม่เป็นตามสัญญา ส่งผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยและละความมั่นคงของประเทศ จึงมีมติให้กระทรวงมหาตไทย และ PEA งดจำหน่ายไฟฟ้าที่จำที่จำยให้กับสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา จำนวน 5 จุดซื้อขายไฟฟ้า ดังนี้
1) จุดซื้อขายไฟฟ้าบริเวณริมฝั่งแม่น้ำแม่สาย เขตแดนประเทศไทยฝั่งประเทศไทย อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ถึงเมืองท่าขี้เหล็ก รัฐฉาน สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา
2) จุดซื้อขายไฟฟ้าบริเวณบ้านเหมืองแดง อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ประเทศไทย ถึงเมืองท่าขี้เหล็ก รัฐฉาน สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา
3) จุดซื้อขายไฟฟ้าบริเวณบ้านหัวยม่วง อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ประเทศไทย ถึงเมืองเมียวดี รัฐกะเหรี่ยง สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา
4) จุดซื้อขายไฟฟ้าบริเวณสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 2 อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ประเทศไทย ถึงเมืองเมียวดี รัฐกะเหรี่ยง สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา
5) จุดซื้อขายไฟฟ้าบริเวณพรมแดนบ้านพระเจดีย์สามองค์ อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี ถึงเมืองพญาตองซู รัฐมอญ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา
ทั้งนี้ PEA แจ้งกรมเอเชียตะวันออก กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานความมั่นคงในประเทศเพื่อทราบการงดจำหน่ายไฟฟ้าดังกล่าวและขอความอนุเคราะห์ประสานสถานทูตสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา รวมทั้งหน่วยงานรัฐในพื้นที่ของสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ณ จุดซื้อขายไฟฟ้า
เมื่อวันที่ 5 ก.พ. 2568 นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้กดปุ่มตัดไฟฟ้า 5 จุด ที่พบข้อมูลว่ามีการนำไฟฟ้าไปใช้ไม่เป็นไปตามสัญญา ส่งผลกระทบต่อความเรียบร้อยและความมั่นคงของประเทศ โดยมีนายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะประธานกรรมการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และนายศุภชัย เอกอุ่น ผู้ว่าการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคร่วมเป็นสักขีพยาน ทั้งนี้การตัดไฟ ทั้ง 5 จุด เป็นระบบสั่งการอัตโนมัติควบคุมระยะไกล ทันทีที่กดปิดระบบ แผงวงจรที่แสดงบนหน้าจอปุ่มจ่ายไฟจากสีแดงจะเปลี่ยนเป็นสีเขียว และจำนวนวัตต์ที่จ่ายไฟจะเปลี่ยนเป็น 0 แอมป์ ทันที รวมการตัดกระแสไฟฟ้าทั้ง 5 จุด 20.38 เมกะวัตต์
ภายหลังตัดกระแสไฟฟ้า นายอนุทิน กล่าวว่า การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคทำการได้ทำการกระแสไฟฟ้าไปยังประเทศรับซื้อไฟฟ้าทั้ง 5 จุด ตามมติของที่ประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติที่ได้มีการประชุมไปเมื่อวานนี้ ซึ่งนายภูมิธรรม เวชชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ลงนามและมีหนังสือสั่งการมายัง กฟภ.ให้ดำเนินการตัดกระแสไฟฟ้า ตามกำหนดเวลา 09.00 น. ซึ่งเราเป็นผู้ปฏิบัติเมื่อมีข้อสั่งการที่ถูกต้องชอบด้วยกฎหมาย ก็สามารถดำเนินการได้ทันที ซึ่งก่อนหน้านี้มีกันตั้งคำถาม ทำไมกระทรวงมหาดไทยไม่ตัดกระแสไฟฟ้าต้องบอกว่ามันอยู่นอกเหนืออำนาจ แต่เมื่อ สมช. มีการประชุมและมีมติออกหนังสือคำสั่งออกมาเราก็ดำเนินการทันที ตามที่ตนเองและปลัดกระทรวงมหาดไทย เคยบอกไว้ว่าบทบาทหน้าที่ของเราเป็นอย่างไร เท่ากับว่าตอนนี้กระแสไฟฟ้าที่ถูกส่งจากไทยไปประเทศเมียนมาได้ถูกยุติลงแล้ว
นายอนุทิน กล่าวว่า การอนุญาตให้ขายไฟฟ้าไปประเทศเพื่อนบ้านเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี ดังนั้นการจะตัดกระแสไฟฟ้าก็ควรรายงานไปยังคณะรัฐมนตรี แม้ว่าเรื่องนี้จะดำเนินการไปแล้วตามมติ สมช. ก็ยังต้องเสนอแจ้งให้นายกรัฐมนตรีให้รับทราบส่วนจะมีการเสนอให้ครม. รับทราบหรือไม่ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของท่าน เพราะเรื่องนี้ยังมีมติที่ต่อเนื่องเพิ่มอีกมากมายหนึ่งในนั้นคือ ให้กระทรวงมหาดไทยและการไฟฟ้าศึกษามติ ครม. ที่อนุญาตให้ขายไฟฟ้าเพื่อทบทวนและปรับปรุงแก้ไข เกี่ยวกับเงื่อนไขที่เกี่ยวข้องกับคอลเซ็นเตอร์และสแกมเมอร์ซึ่งในอดีตยังไม่มีเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน และนำเสนอให้ ครม. พิจารณาพิจารณา
“ยืนยันว่านายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี ไม่เคยสั่งระงับการจ่ายไฟฟ้าให้ประเทศเพื่อนบ้าน แต่สั่งให้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปติดตามสืบสวนสอบสวนว่ามีการใช้ไฟฟ้าที่ไทยส่งให้เมียนมาไปใช้ในทางที่ผิดกฎหมายหรือไม่ หากมีก็ให้ดำเนินการตัดไฟ ซึ่งกฟภ. ได้ทำหนังสือสอบถามไปยังหน่วยงานต่างๆ แล้ว” นายอนุทิน กล่าว

นายอนุทิน กล่าวถึงกรณีหากทางการเมียนมาติดต่อประสานขอซื้อไฟฟ้าใหม่ว่า ก็ยังมีโอกาสเกิดขึ้นได้ วันนี้รัฐบาลสั่งให้หยุดเพราะเมียนมานำกระแสไฟฟ้าไปใช้ที่ทำให้เกิดความเดือดร้อนต่อไทยด้วย เขาจึงต้องไปแก้ไขและต้องมีการเจรจาใหม่ ทั้งนี้กระทรวงการต่างประเทศได้แจ้งว่าจะเป็นผู้ไปประสานกับรัฐบาลเมียนมาเกี่ยวกับผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการตัดกระแสไฟฟ้า ซึ่งการดำเนินการในครั้งนี้เป็นการดำเนินการตามสัญญาข้อที่ 14 ที่กำหนดว่าหากจ่ายไฟฟ้าไปแล้วเกิดผลกระทบต่อความมั่นคงทางพลังงานและความมั่นคงของชาติไทยสามารถงดจ่ายไฟได้
นายอนุทิน กล่าถึงกรณีเกรงจะถูกคู่สัญญาฟ้องว่า การไฟฟ้าทำตามสัญญา เมื่อพบว่า มีผลกระทบต่อความมั่นคงทั้งทางด้านพลังงานและความมั่นคงของชาติ ก็สามารถหยุดการจ่ายไฟได้ตามเงื่อนไขสัญญา
ส่วนที่นายภูมิธรรมอ้างว่า กฟภ. อำนาจในการตัดไฟเองได้เลยนั้น นายอนุทินกล่าวว่า สำหรับตนเองมองว่าไม่ใช่ นี่ไม่ใช่การโยนกันไปโยนกันมากระทรวงมหาดไทยไม่ได้ไปขอให้ นายกฯ และรองนายกฯ สั่งการแต่เป็นไปตามขั้นตอน กฟภ. มีหน้าที่ในการจ่ายไฟแต่ไม่ได้มีหน้าที่ในการประเมินว่ามีผลต่อความมั่นคงของประเทศหรือความมั่นคงทางพลังงานหรือไม่ ซึ่งการตัดไฟฟ้าในครั้งนี้ตัดไฟฟ้าไปทั้งหมด 20 เมกะวัตต์ เสียรายได้ประมาณ 50 ล้านบาทต่อเดือนหรือ 600 ล้านบาทต่อปี ซึ่งเมื่อเทียบกับรายได้การ ขายไฟทั้งหมดรวม 600,000 ล้านบาทต่อปี ในส่วนนี้จึงไม่ถึง 1% แต่แค่นี้ ถือว่าคุ้มเพราะรักษาผลประโยชน์ของประชาชน และเราไม่ได้ล่าช้า ขณะเดียวกันยอมรับว่ามีการขายไฟฟ้าให้กับประเทศกัมพูชาและมั่นใจว่าจะใช้หลักการนี้เช่นเดียวกัน แต่จะเป็นเมื่อไหร่ให้ถาม สมช.
นายอนุทิน ปฏิเสธที่จะตอบคำถามว่าการตัดกระแสไฟฟ้าจะช่วยสกัดกั้นการก่ออาชญากรรมข้ามชาติแก๊งคอลเซ็นเตอร์ได้มากน้อยแค่ไหน โดยระบุว่าเป็นการทำตามคำสั่ง ซึ่งทราบว่าทางเมียนมารับซื้อไฟฟ้าจากประเทศลาวที่จีนไปตั้งบริษัท ซึ่งถือเป็นการทำผิดกฏหมายในประเทศเพื่อนบ้านก็ต้องไปดูแลจัดการกันเอง ไม่เกี่ยวข้องกับเราที่จะมากล่าวหาได้ว่าไปมีส่วนเกี่ยวข้องก่อให้เกิดสิ่งผิดกฎหมาย
นายอนุทิน ยืนยันว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง แต่เป็นเรื่องความมั่นคงและการรับข้อสั่งการจากรัฐบาลซึ่งเป็นฝ่ายนโยบาย ไม่ใช่การเมืองหรือประโยชน์ของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ยืนยันเรื่องนี้มาตั้งแต่วันแรกที่เป็นประเด็น ซึ่งตนบอกว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่มีข้อสั่งการที่ถูกต้องตามกฎหมาย กฟภ. จะดำเนินการทันที



Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา