
วงเสวนาฯ หวั่น ‘สงครามการค้า’ ลุกลาม อาจนำไปสู่ ‘great depression’ ด้าน ‘อดีตทูตฯพิศาล’ เสนอ 7 แนวทาง 'ทำได้ทันที' รับมือ ‘ทรัมป์ 2.0’
.....................................
เมื่อวันที่ 10 มี.ค. สมาคมเศรษฐศาสตร์แห่งประเทศไทย จัดงานเสวนา “Trade War 2025: จะรับมือกับ Trump อย่างไร?” โดยในการเสวนาในหัวข้อ “ผลกระทบ Trade War ต่อธุรกิจและแนวทางการแก้ปัญหา” นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า นโยบายของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ มีความชัดเจน คือ ‘Make America Great Again’ ซึ่งมาจากแนวคิดที่ว่า สหรัฐฯเสียดุลการค้ากับประเทศต่างๆมากมาย โดยเฉพาะจีน ในขณะที่จีนเองก็แข็งแกร่งขึ้นมาอย่างรวดเร็ว จนเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจที่มีขนาดใหญ่อันดับที่ 2 ของโลก ภายใต้นโยบาย “ความทะเยอทะยานของประเทศจีน” ของสีจิ้นผิง
“ปัญหาการดุลการค้ากับจีนและประเทศต่างๆ ส่งผลให้หนี้สินของสหรัฐเพิ่มขึ้นรวดเร็ว ในสมัยประธานาธิบดีโอบามา จีนเคยได้ดุลการค้ากับสหรัฐมากที่สุดปีละ 3.75 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ และได้ดุลการค้าฯมาโดยตลอด ทำให้สหรัฐอึดอัดมาก จนประธานาธิบดีทรัมป์ 1.0 ประกาศว่า ต้องการหยุดความร้อนแรงของจีน จึงประกาศ Trade War กับจีน เพราะคิดว่าเป็นทางเดียวที่ระงับไม่ให้จีนไปถึงดวงดาวตามที่พูดไว้ ซึ่งในช่วงเวลานั้น ไทยได้อานิสงส์ในเชิงบวก
เพราะตั้งแต่สมัยทรัมป์ 1 จนมาถึงประธานาธิบดีไบเดน ไทยได้ดุลการค้ากับสหรัฐเป็นอันดับที่ 14 ได้ดุลการค้าปีละประมาณ 2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่มาปี 2567 ไทยขยับขึ้นมาเป็นอันดับที่ 11 ได้ดุลการค้าจากสหรัฐ 4.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ปีที่แล้วเราขาดดุลการค้ากับจีน 3.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ดังนั้น เดิมเราอยู่อันดับที่ 14 ตอนนี้ขยับมาอยู่อันดับที่ 11 การขยับขึ้นมานี้ ทำให้เราอยู่ในเกณฑ์ที่ประธานาธิบดีทรัมป์จะเล่นเราแน่นอน” นายเกรียงไกรระบุ
นายเกรียงไกร ระบุว่า แม้ว่านโยบายทรัมป์ 1.0 และทรัมป์ 2.0 จะมีความคล้ายกันมาก แต่สิ่งที่แตกต่างกัน คือ ภายใต้นโยบายทรัมป์ 2.0 สิ่งที่สหรัฐฯต้องการไม่ใช่เพียงการย้ายฐานการผลิตออกจากจีนเท่านั้น แต่สหรัฐฯให้น้ำหนักว่า ให้ธุรกิจย้ายฐานการผลิตไปตั้งในสหรัฐฯ และธุรกิจที่ตั้งอยู่ในสหรัฐเท่านั้นที่จะได้รับประโยชน์ ซึ่งตรงนี้จะส่งผลกระทบต่อเงินลงทุนโดยตรง (FDI) จากต่างประเทศที่จะไหลเข้าประเทศไทย
นายเกรียงไกร กล่าวต่อว่า ปัจจุบันไทยพึ่งพาตลาดสหรัฐเป็นตลาดส่งออก ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 17% ของการส่งออกไทยทั้งหมด อย่างไรก็ดี ในช่วงปลายปี 2567 ถึงต้นเดือน ม.ค.2568 ยอดการส่งออกของไทยไปสหรัฐฯพุ่งขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ สวนทางกับดัชนีภาคการผลิตลดลง จึงคาดเดาว่าอาจเกิดจากการสวมสิทธิ์สินค้านำเข้าจากประเทศอื่น แล้วใช้ประเทศไทยเป็นฐานส่งออกสินค้าไปสหรัฐ ทำให้สหรัฐฯจับตามองประเทศไทยอย่างมาก
“ปี 2566 จีนส่งออกสินค้าไปสหรัฐลดลง 20% จีนไม่ใช่คู่ค้าอันดับ 1 ของสหรัฐอีกแล้ว และสินค้าเหล่านั้นได้ไหลทะลักเข้ามาในอาเซียน 10 ประเทศ ทำให้อาเซียนเป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของสหรัฐ คือ ยอด 5.23 แสนล้านดอลลาร์ มาอยู่อาเซียน ขณะเดียวกัน อาเซียนก็ขาดดุลกับจีนอย่างรวดเร็ว 1.3 แสนดอลลาร์สหรัฐ และปี 2567 อาเซียนนำเข้าสินค้าจีนเพิ่มขึ้น 12% และขาดดุลเพิ่มขึ้นเป็น 1.9 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ปรากฏว่าไทยนำเข้าสินค้าจีนในสัดส่วนมากที่สุด
สิ่งที่กลัว คือ ผลกระทบจากทรัมป์ 2.0 ในทางตรงมีอยู่แล้ว และยังต้องลุ้นต่อไปว่า สหรัฐฯจะมีประกาศอะไรออกมาอีก และอุตสาหกรรมไหนจะโดนบ้าง ซึ่งอันนั้นคงต้องปรับตัว แต่สิ่งที่เห็นชัดๆ เป็นภัยที่กำลังเข้ามา เป็นผลกระทบทางอ้อม คือ สินค้าจีนหรือสินค้าราคาถูกจำนวนมหาศาลที่ไปทางโน้น (สหรัฐฯ)ไม่ได้ ก็หันเข้ามาทางนี้มากขึ้น เช่นเดียวกันในปี 2566-2567 และในปี 2568 คงจะเยอะขึ้นแน่นอน” นายเกรียงไกร กล่าว
นายเกรียงไกร กล่าวว่า ส.อ.ท.ได้มีข้อเสนอไปยังรัฐบาลและหน่วยงานภาครัฐ เพื่อรับมือกับสงครามการค้าทั้งในระยะเร่งด่วน และระยะยาว โดยระยะเร่งด่วนนั้น จะต้องบูรณาการทางการค้า โดยเฉพาะข้อมูล เพื่อกำหนดยุทธศาสตร์ในการเจรจา ,การจัดตั้ง War room เพื่อรับมือกับนโยบายการค้าของสหรัฐ ,การเข้มงวดในการบังคับใช้กฎหมายเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศจากสินค้าที่ทุ่มตลาดเข้ามา และสนับสนุนการซื้อสินค้า made in Thailand เป็นต้น
“เราต้องเข้มงวดในการบังคับใช้กฎหมาย โดยเฉพาะกับสินค้าจีนหรือสินค้าราคาถูกที่เข้ามา โดยปีที่แล้ว เราขาดดุลการค้ากับจีน 1.63 ล้านล้านบาท เพิ่มจากปีก่อนหน้า 7-8% และนี่เป็นสินค้าเข้ามาอย่างถูกต้องด้วย ทั้งนี้ แม้ว่าเราจะมีการใช้มาตรการต่างๆ ตามข้อตกลง WTO (องค์การการค้าโลก) แต่เรายังใช้ไม่เต็มที่ การบังคับใช้กฎหมายยังหย่อนยาน ไม่มีประสิทธิภาพ” นายเกรียงไกร กล่าว
ส่วนในระยะยาว จะต้องมีการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมทั้งระบบ และส่งเสริมอุตสาหกรรมที่เป็นจุดแข็ง เช่น อาหาร เทคโนโลยีชีวภาพ รวมทั้งต้องเชื่อมโยงกับห่วงโซ่อุปทานในตลาดโลก ,การพัฒนาสินค้าและบริการ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม ,การปฏิรูปการศึกษาและพัฒนากำลังคน ,การปรับปรุงที่ล้าสมัย และปฏิรูประบบราชการด้วยดิจิทัล และส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคอาเซียน
@‘สงครามการค้า’อาจนำไปสู่เศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่
นายดอน นาครทรรพ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายบริหารเงินสำรอง ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ระบุว่า ครั้งสุดท้ายที่ประเทศไทยมีปัญหาจากสงครามการค้า คงต้องย้อนกลับไปในช่วงก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475 ซึ่งตอนนั้นมีการทำสงครามการค้ากันทั่วโลก และตอนนี้แม้ว่าสหรัฐฯจะเริ่มสงครามการค้าก่อน แต่ก็เริ่มเห็นว่ามีประเทศอื่นๆ ทำตามบ้างไม่เฉพาะสหรัฐ โดยล่าสุดจีนได้ขึ้นภาษีสินค้ากับแคนาดา
“ถ้าเป็นอย่างนี้ทั่วโลก มีความเป็นไปได้ว่า ถ้าทิศทางแบบนี้ เราจะกลับไปสมัย great depression (เศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่) ก็มีส่วนเป็นไปได้” นายดอน กล่าว
นายดอน กล่าวว่า สงครามการค้าในรอบนี้ มีความต่างจากสงครามการค้ารอบที่แล้ว อย่างน้อย 2 ประเด็นสำคัญ คือ ประเด็นที่หนึ่ง สงครามการค้าครั้งแรกมีเป้าหมายไปที่จีน เป็นสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน แต่ในรอบนี้ประธานาธิบดีทรัมป์จงใจขึ้นภาษีกับทุกประเทศ โดยสหรัฐขึ้นภาษีสินค้าจีนไปแล้ว 20% และจะเพิ่มอีก 20% รวมทั้งมีการขึ้นภาษีสินค้าจากแคนาดาและเม็กซิโกไปแล้ว และประเด็นที่สอง มุ่งดึงการลงทุนทุกอย่างกลับไปยังสหรัฐ
นายดอน กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมาสงครามการค้าสร้างความผันผวนให้กับตลาดเงิน โดยในช่วง 6 เดือน หลังจากทรัมป์มีแนวโน้มชนะการเลือกตั้ง ตลาดอัตราแลกเปลี่ยนผันผวนค่อนข้างมาก โดยเฉพาะจีน แคนาดา และเม็กซิโก ที่สหรัฐจะขึ้นภาษี พบว่า นับตั้งแต่เดือน พ.ย.2567 อัตราแลกเปลี่ยนของทั้ง 3 ประเทศ อ่อนลง โดยในส่วนแคนาดาและเม็กซิโกนั้น เมื่อมีข่าวว่าทรัมป์จะขึ้นภาษี อัตราแลกเปลี่ยนจะอ่อนลง แต่เมื่อจะย้อนกลับอัตราแลกเปลี่ยนจะแข็งขึ้น
อย่างไรก็ดี ในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา เรื่องราวเกี่ยวกับสงครามการค้าได้เปลี่ยนไป โดยก่อนที่ทรัมป์จะเข้มงวดเรื่องภาษีใหม่ ตลาดเงินและตลาดทุนของสหรัฐตอบสนองในทิศทางค่อนข้างดี แต่ตอนนี้คนมองว่า สิ่งที่ทรัมป์ประกาศออกมาจะส่งผลกระทบเศรษฐกิจสหรัฐ และเมื่อคนไม่มั่นใจเศรษฐกิจสหรัฐ ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐก็เริ่มอ่อน ตลาดหุ้นเริ่มตก และคนแห่เข้าไปลงทุนในตลาดพันธบัตร เพราะคิดว่าเฟดจะลดดอกเบี้ย เพื่อต่อสู้กับภาวะเศรษฐกิจถดถอย
นายดอน กล่าวว่า แนวทางการรับมือกับสงครามการค้า ซึ่งไทยสามารถนำมาปรับใช้ได้ เช่น การสร้างความเข้มแข็งจากภายใน ,การดูแลเสถียรภาพด้านต่างประเทศ เพราะโลกจะมีความผันผวนค่อนข้างมาก ,การใช้ประโยชน์จากการค้าและข้อตกลงการค้าในภูมิภาค เช่น อาเซียน ,การเจรจากับสหรัฐเพื่อลดความเสี่ยง ,การเกาะติดหรือการเข้าไปอยู่ในห่วงโซ่การผลิต ทั้งจีนและสหรัฐ รวมถึงการเข้าไปลงทุนในสหรัฐ และอาศัยกลไก WTO เพื่อสร้างการค้าที่เป็นธรรม
@แนะรัฐบาลเดินหน้า 7 ข้อรับมือสงครามการค้าสหรัฐ
นายพิศาล มาณวพัฒน์ อดีตสมาชิกวุฒิสภา และอดีตเอกอัคราชทูตไทยประจำสหรัฐอเมริกา กล่าวว่า นโยบายของทรัมป์ที่บอกว่า ‘อเมริกามาก่อน’ ไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด นโยบายนี้ มีมาทุกยุคทุกสมัย แต่เป็นเรื่องใหม่ตรงที่ เดิมไม่มีใครกล้าพูดแบบตรงไปตรงมา แต่ตอนนี้ไม่ต้องเขินอายอีกต่อไปแล้ว และขณะนี้ประธานาธิบดีทรัมป์ เริ่มจัดระเบียบโลกใหม่แทนระเบียบโลกเดิม เพราะมองว่าสหรัฐฯถูกเอาเปรียบ พร้อมทั้งตั้งคำถามว่าประเทศต่างๆว่าช่วยอะไรสหรัฐบ้าง
“ทรัมป์เห็นว่า ระเบียบโลกที่อดีตนำสหรัฐฯจัดให้กับโลก หลังจากชนะสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นระเบียบโลกบนหลักสิทธิเสรีภาพ ประชาธิปไตย และเสรีนิยมในหลักเศรษฐศาสตร์ ทรัมป์เห็นว่า สหรัฐฯถูกเอาเปรียบ และในความคิดของทรัมป์เห็นว่า เป็นสิ่งที่จะต้องปรับเปลี่ยนใหม่หมด ฉะนั้น ขณะนี้ทรัมป์จึงเริ่มจัดระเบียบโลกใหม่ แทนระเบียบโลกเดิม แต่ยังเป็นหลักการเดิมว่า สหรัฐมาก่อน” นายพิศาล กล่าว และว่า
“สิ่งที่เขา (ทรัมป์) ตั้งคำถามในระเบียบโลกใหม่ เป็นสิ่งคนที่เลือกเขามา ต้องการให้เขาทำ ต้องการคำตอบ นี่จึงเป็นเหตุผลว่า อเมริกามาก่อน ผลประโยชน์มาก่อน ในความหมายของทรัมป์ และต่อให้ระเบียบโลกเดิมหรือโลกาภิวัฒน์ จะสร้างความมั่งคั่งให้สหรัฐฯมากที่สุดในโลก แต่สำหรับทรัมป์แล้ว คนที่เสียประโยชน์ คือ คนที่เลือกเขาเข้ามา ในขณะที่ซอฟต์พาวเวอร์ ที่ทำให้อเมริกาเป็นที่ประทับใจของคนทั้งโลกนั้น ทรัมป์ไม่เข้าใจ
เช่น สหรัฐฯมีกฎหมายห้ามไม่ให้บริษัทอเมริกันไปร่วมหรือสมรู้ร่วมคิดคอร์รัปชั่นในการทำธุรกิจในต่างประเทศ สิ่งที่ทรัมป์ทำ คือ ออก executive order ระงับการใช้กฎหมายนี้ เพราะเห็นว่าทำให้นักธุรกิจและบริษัทอเมริกันในต่างประเทศ เสียเปรียบบริษัทอื่นที่แจกเงินใต้โต๊ะและสมรู้ร่วมคิดในการคอร์รัปชั่น ซอฟต์พาวเวอร์ที่สวยงามที่สุดในการทำธุรกิจ ซึ่งสหรัฐแสดงให้โลกเห็นว่าการทำธุรกิจต้องโปร่งใส แต่ทรัมป์บอกว่า ไม่ใช่สิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อธุรกิจอเมริกัน”
นายพิศาล กล่าวด้วยว่า กลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากนโยบายทรัมป์ 2 คือ นักธุรกิจไทยที่ไปลงทุนในสหรัฐ และนักธุรกิจไทยที่ทำมาหากินอยู่ในสหรัฐ ส่วนกลุ่มที่เสียประโยชน์ กลุ่มแรก คือ อาเซียน เพราะทรัมป์ไม่รู้จักอาเซียน และในสมัยทรัมป์ 1 ทรัมป์เข้ามาร่วมประชุมกับอาเซียนเพียง 1 ครั้งเท่านั้น กลุ่มที่ 2 คือ กลุ่มผู้ผลิต ผู้ประกอบการ และผู้ส่งออกสินค้าไปสหรัฐ และกลุ่มที่ 3 คือ ผู้ที่เคยได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลพรรคเดโมแครต
ทั้งนี้ นายพิศาล ได้เสนอแนวทางในการรับมือสงครามการค้า โดยเฉพาะจากสหรัฐฯ ต่อรัฐบาลและนายกรัฐมนตรี ใน 7 ข้อ และสามารถลงมือปฏิบัติได้ทันที ได้แก่ 1.ต้องทำความเข้าใจประธานาธิบดีทรัมป์ให้ถ่องแท้ โดยเฉพาะศึกษาจาก executive order เพื่อให้เข้าใจวิธีคิดของทรัมป์ 2.แม้ว่าไทยจะได้ประโยชน์จากการใกล้ชิดกับจีน แต่อย่าใกล้ชิดจนเกินไป และทำให้ไทยเสียประโยชน์กับประเทศตะวันตก 3.สร้างความนิยมไทยกับทรัมป์และคนรอบข้าง
4.สื่อสารถึงสิ่งที่ประเทศไทยทำประโยชน์ให้ทรัมป์และสหรัฐ 5.ประกาศแผน 4 ปี ในการสั่งซื้อสินค้าล็อตใหญ่จากสหรัฐ 6.ประกาศแผน 4 ปี ในการเพิ่มการลงทุนของไทยในมลรัฐสำคัญทางการเมือง และ 7.ตอบสนองข้อเรียกร้องของเอกชนสหรัฐในสิ่งที่เป็นประโยชน์กับประเทศไทย

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา