
รัฐบาลดาหน้า โต้ กัณวีร์ สืบแสง สส.พรรคเป็นธรรม ปม ส่งชาวอุยกูร์ 40 คนกลับจีน กัณวีร์ จับโกหก 6 ครั้ง – ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี-รมว.กลาโหม ท้าเปิดหลักฐาน ‘สมัครใจ’ มาริษ เสงี่ยมพงษ์ รมว.ต่างประเทศ ยืนยัน เป็นไปตามกฎหมายไทย-กติการะหว่างประเทศ พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม โชว์อ่านบันทึกอัยการสูงสุดส่งตัวกลับ
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า วันที่ 24 มีนาคม 2568 เวลา 08.20 น. ที่รัฐสภา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร มีการพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล รายนางสาว แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 151 ระหว่างวันที่ 24-25 มีนาคม 2568 และลงมติในวันที่ 26 มีนาคม 2568 โดยการอภิปรายในวันแรก พรรคฝ่ายค้านได้เวลาอภิปราย 17 ชั่วโมง พรรคฝ่ายรัฐบาลและคณะรัฐมนตรี ได้เวลา 3 ชั่วโมงครึ่ง ส่วนการอภิปรายในวันที่สอง พรรคฝ่ายค้านได้เวลาอภิปราย 11ชั่วโมง พรรคฝ่ายรัฐบาลและครม.ได้เวลาอภิปราย 3 ชั่วโมงครึ่ง
นายกัณวีร์ สืบแสง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเป็นธรรม อภิปรายนโยบายต่างประเทศของรัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร กรณีผลักดันชาวอุยกูร์ 40 คน กลับประเทศจีน เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2568 ว่า การแก้ปัญหาผู้ลี้ภัย มาตรฐานสากลที่ไทยพยายามจะยึดมั่น กฎหมายระหว่างประเทศและกฎหมายไทยที่พยายามจะยึดมั่น มีอยู่ด้วยกัน 3 เรื่อง 1.การเดินทางกลับโดยสมัครใจ (VolRep) 2.อยู่ที่ประเทศที่ลี้ภัย (Local Integration) และ 3.ตั้งถิ่นฐานใหม่ประเทศที่ 3 (RST)
“แต่รัฐบาลตัดสินใจในการให้ผู้ลี้ภัยชายอุยกูร์เดินทางกลับประเทศโดยสมัครใจหรือไม่ วันที่ 27 ก.พ.68 มันมีเส้นบาง ๆ ที่รัฐบาลแพทองธารทำอยู่ การเดินทางกลับประเทศโดยสมัครใจ หรือ การบังคับผลักดันกลับประเทศต้นทาง (Forced Deportation)”นายกัณวีร์กล่าว
นายกัณวีร์กล่าวว่า เรามีหลักฐานจากสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) ว่าคนอุยกูร์มีสัญชาติตุรกี รัฐบาลได้พูดคุยกับสถานทูตตุรกีหรือไม่ แต่ทำไมถึงพูดคุยแต่กับสถานทูตรัฐบาลจีน
นายกัณวีร์กล่าวว่า 73 วันแห่งการโกหก บิดเบือน ทำลายภาพลักษณ์ของประเทศไทยในเวทีระหว่างประเทศ เริ่มต้นเมื่อวันที่ 7 มกราคม 2568 วันที่ 17 มกราคม 2568 สภาความมั่นคงแห่งชาติ ที่มีนายภูมิธรรม เวชยชัย เป็นประธาน มีคำสั่งให้ส่งชาวอุยกูร์กลับจีน ซึ่งทราบภายหลังจากเจ้าหน้าที่สมช.ในวันที่ 12 มีนาคม 2568
@ จับโกหกรัฐบาล 6 ครั้ง
นายกัณวีร์กล่าวว่า วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 02.14 น.มีขบวนรถขนผู้ต้องขังติดฟิล์มดำติดโลโก้ของกรมราชทัณฑ์หลายคันพร้อมรถนำขบวนเคลื่อนออกจากสถานกักตัวของ สตม. ด้วยความเร่งรีบก่อนขึ้นทางด่วนออกไป เวลา 04.48 น. เครื่องบินเที่ยวบิน CSN5245 ออกจากดอนเมืองไปจีน เวลา 10.45 นายกรัฐมนตรีไม่รู้ว่าส่งตัวชาวอุยกูร์กลับ
“มีการโกหก บิดเบือน โดยการปฏิเสธ 6 ครั้ง วันที่ 17 มกราคม ปฏิเสธครั้งที่ 1 โดยนายภูมิธรรม รองนายกรัฐมนตรี วันที่ 22 มกราคม ปฏิเสธครั้งที่ 2 โดยโฆษก สตม. วันที่ 29 มกราคม ปฏิเสธครั้งที่ 3 โดย สมช. วันที่ 30 มกราคม ปฏิเสธครั้งที่ 4 โดยนายภูมิธรรม วันที่ 27 กุมภาพันธ์ ปฏิเสธครั้งที่ 5 โดย ผบ.ตร. และปฏิเสธครั้งที่ 6 โดยนายกรัฐมนตรี ทั้งที่สมช.มีมติส่งชาวอุยกูร์ ตั้งแต่วันที่ 17 มกราคม 2568”นายกัณวีร์กล่าว
นายกัณวีร์กล่าวว่า วันที่ 12 มีนาคม 2568 เป็นวันที่โป๊ะแตก ในการประชุมคณะกรรมาธิการ (กมธ.) กฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร ความสมัครใจกลับประเทศของชาวอุยกูร์คืออะไร นำหลักฐานมาได้หรือไม่ แต่คำตอบของ สตม. คือ CCTV ที่มีอยู่ปัจจุบันนี้ของสตม.นั้น เป็นแบบ เรียลไทม์ ไม่สามารถบันทึกได้ หมายความว่า ไม่มีหลักฐาน
“ภาพยนตร์เรื่องนี้ 73 วันแห่งการโกหก หลอกลวง ปู้ยี่ปู้ยำนโยบายต่างประเทศของไทย ท่านเลือกข้างไปหลายครั้งแล้ว ครั้งนี้ท่านเลือกข้างผิด ท่านไม่เลือกข้างสิ่งที่ทำให้ประเทศไทยรอดพ้นจากผลกระทบต่าง ๆ ในเวทีระหว่างประเทศ โดนประณาม การตระบัดสัตย์ในประเทศว่าร้ายแล้ว แต่ตระบัดสัตย์ในเวทีระหว่างประเทศเลวร้ายยิ่งกว่า”นายกัณวีร์กล่าว
นายกัณวีร์กล่าวว่า ภาพลักษณ์และผลประเทศไทยวางอยู่ตรงกลางระหว่างการเมืองระหว่างประเทศ เราต้องมีจุดยืนที่มั่นคง ไม่เห็นจุดยืนที่มั่นคงของรัฐบาลในเวทีระหว่างประเทศ ไม่มีนโยบายต่างประเทศใด ๆ ที่จะทำให้ประเทศไทยหลุดพ้นจากการเมืองระหว่างประเทศในศตวรรษที่ 21
@ ผิดกฎหมายไทย-กติกาโลกหลายฉบับ
นายกัณวีร์กล่าวว่า รัฐบาลทำผิดกฎหมายหลายฉบับ กฎหมายภายในประเทศ พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ.2565 มาตรา 5 มาตรา 6 มาตรา 7 มาตรา 8 มาตรา 13 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ.2551 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการคัดกรองคนต่างด้าวที่เข้ามาในราชอาณาจักร และไม่สามารถเดินทางกลับประเทศอันเป็นภูมิลำเนาได้ พ.ศ.2562
นายกัณวีร์กล่าวว่า หลักการไม่ส่งกลับ Non-Refoulement International Customary Law กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง International Covenant on Civil and Political Rights (ICCPR) อนุสัญญาว่าด้วยการต่อต้านการทรมาน และการกระทำอื่น ๆ ที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรี Convention Against Torture and other Cruel,Inhuman or Degrading Treatment or Punishment (CAT) อนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลจากการหายสาบสูญโดยถูกบังคับ International Convention for the Protection of All Persons from Enforced Disappearance (ICPPED) และ ปฏิญญาอาเซียนว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ASEAN Human Rights Declaration – AHRD
@ มีหลักฐานสมัครใจกลับจีน ท้าเปิดต่อหน้าสื่อ
ด้านนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ลุกขึ้นอภิปรายชี้แจงว่า ปัญหาชาวอุยกูร์เป็นปัญหาที่ตกค้างมากนาน ซึ่งกระทำความผิดเข้าประเทศไทยโดยผิดกฎหมาย โทษสูงสุด 2 ปี ซึ่งการขังไว้ถึง 11 ปี ผิดหลักมนุษยธรรม แต่ปัญหาของประเทศไทย คือ อยู่บนทางสองแพร่ง รัฐบาลที่ผ่านมาจึงไม่กล้าตัดสินใจ ปัญหาอุยกูร์เราต้องจัดการให้ เพราะมีกฎหมายทรมานอุ้มหาย การขังไว้เกินกว่าโทษที่จะได้รับ
นายภูมิธรรมกล่าวว่า รัฐบาลมีทางเลือก 3 ทาง ทางแรก คือ ขังต่อไป ไม่สมควร ต้องหาทางออกให้ ทางที่สอง ส่งไปประเทศที่สาม ไม่มีใครให้สิทธิผู้ลี้ภัยกับชาวอุยกูร์ เป็นเรื่องของความเพ้อฝันของหลายคน ทางที่สาม ส่งกลับไปให้ประเทศเจ้าของ ที่นายกันวีร์บอกว่า ชาวอุยกูร์ถือสัญชาติตุรกี นายกันวีร์โกหก มีหลักฐานว่า ชาวอุยกูร์ทั้ง 40 คน เป็นคนจีน
“ผมมีหลักฐานแน่นอนว่า 40 คนนี้ สมัครใจ ท่านอยากเจอ อยากทราบ ไม่มีปัญหา พบกันได้ เอาหลักฐานมาเปิดกันดูต่อหน้าสื่อมวลชน”นายภูมิธรรมกล่าว
นายภูมิกรรมกล่าวว่า การที่ให้จีนออกกฎหมายรับรองอย่างเป็นทางการของรัฐบาล คือ Diplomatic Notes คือ สาระสำคัญที่เป็นจดหมายสำคัญของประเทศ
นายภูมิธรรมกล่าวว่า รัฐบาลไม่เคยเลือกข้าง ไทยเป็นประเทศเล็ก ไม่สามารถเลือกข้างใครได้ เราเลือกประเทศไทยให้อยู่รอด เดินต่อไปได้ ให้ประเทศไทยหลุดพ้นจากความขัดแย้ง เป็นการตัดสินใจที่กล้าในการเอาประเทศออกจากวิกฤต
“นายกันวีร์โกหกหลายเรื่อง ผมไปดูด้วยตา สื่อไปด้วย ผมไปเห็นของจริง อีก 1-2 เดือน รัฐมนตรีต่างประเทศจะไปดู สิ่งที่นายกัณวีร์ตั้งคำถามขัดแย้งกับชาวโลก”นายภูมิธรรมกล่าว
@ ยืนยันเป็นไปตามกฎหมายไทย-หลักมนุษยธรรมโลก
นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศกล่าวว่า การแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์สูงมาก ดังนั้น ยืนยันว่า รัฐบาลแพทองธาร นายกรัฐมนตรี ตัดสินใจบนผลประโยชน์ของประเทศเป็นสำคัญ ต้องการแก้ไขปัญหาที่หมักหมมและต้องรับภาระดูแลชาวอุยกูร์เป็นเวลากว่า 11 ปี
“การตัดสินใจของไทยอาจจะเป็นที่ไม่พอใจของประเทศมหาอำนาจที่กำลังแข่งขันกันอยู่ในบริบทของภูมิรัฐศาสตร์ แต่ขอยืนยันว่ารัฐบาลตั้งใจแก้ปัญหา”นายมาริษกล่าว
นายมาริษกล่าวว่า พื้นฐานในการพิจารณาในการแก้ปัญหาชาวอุยกูร์ครั้งนี้ เป็นการใช้อำนาจอธิปไตยและสิทธิของประเทศไทย เราไม่ได้เลือกข้างและเราไม่ได้ถูกใครบีบ รัฐบาลตัดสินใจบนผลประโยชน์และแก้ปัญหาให้ประชาชนไทยและปัญหาประเทศที่มีมายาวนาน
“ขอยืนยันว่าเป็นไปตามกฎหมายไทย และไม่ขัดกับหลักการกฎหมายระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชน เราตัดสินใจที่ประเทศเพื่อนเราในสมาชิกสหประชาชาติเช่นเดียวกันที่ให้การยืนยันความปลอดภัย ซึ่งในทางการทูตถือว่าเป็นความสำคัญอย่างมาก เพราะเป็นเอกสารและพื้นที่ที่สำคัญ ไทยสามารถใช้เป็นหลักฐานแสดงต่อประชาคมโลกว่า การพิจารณาของไทยเป็นไปอย่างรอบคอบ ตามหลักการสิทธิมนุษยชนทุกประการ หลักไม่ส่งคนเหล่านี้กลับไปแล้วอันตราย”นายมาริษกล่าว
@ ทวี โชว์อ่านบันทึกอัยการสูงสุด
พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า ประเด็นการส่งกลับต้องสมัครใจ ต้องได้รับการยินยอม ทุกคนมีบันทึกสมัครใจ และยินยอมกลับ เอกสารฉบับนี้ ซึ่งเป็นเอกสารชั้นความลับของสมช. และเป็นเอกสารที่ตัวผู้สมัครใจกลับมีความหวาดกลัวหากเปิดเผย ถ้าจะขอสมช. นายกัณวีร์ต้องทำเรื่องเข้าสู่การพิจารณาของสมช. ตามพ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารฯ
“การส่งกลับเราคำนึงถึงตามพ.ร.บ.ป้องกันการทรมานฯ มาตรา 13 ซึ่งอัยการสูงสุดใช้คำพูดว่า บัญญัติห้ามไม่ให้หน่วยงานของรัฐส่งตัวบุคคลไปอีกรัฐหนึ่ง หากมีเหตุอันควรเชื่อว่า บุคคลนั้นจะตกอยู่ในอันตราย ที่จะถูกทรมาน ถูกกระทำโหดร้ายหรือย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ หรือถูกกระทำให้สูญหาย กรณีเช่นนี้สำนักอัยการสูงสุด เห็นว่าเป็นการดำเนินการตามคำยืนยันของบันทึกทางการทูต และเป็นความผิดลหุโทษและจะไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหาความผิดอื่นเมื่อกลับไปที่จีน จึงสามารถส่งกลับสู่ครอบครัวในประเทศจีนได้ทันที และไทยในฐานะผู้รับผิดชอบการบริหารจัดการผู้ลี้ภัยเข้าเมืองชาวอุยกูร์ ตลอดระยะเวลา 10 ปี สามารถเดินทางไปจีน ไปตรวจสอบการดำเนินการติดตามบุคคลดังกล่าว จึงถือว่า คำมั่นสัญญาเป็นทางการที่ไม่ปรากฎบ่อยนักของประเทศมหาอำนาจ จึงมีหนังสือคำมั่นสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษร นี่คือบันทึกส่วนหนึ่ง”พันตำรวจเอก ทวีกล่าว
พันตำรวจเอก ทวีกล่าวทิ้งท้ายว่า ชาวอุยกูร์ 40 คน ไม่มีหนังสือจากข้าหลวงใหญ่สหประชาชาติที่เป็นหนังสือยืนยันสถานะ ว่าเป็นผู้ลี้ภัย เป็นเพียงผู้หลบหนีเข้าเมือง

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา