
DSI เดินหน้าสอบคดีนอมินี บ.จีนสร้างตึก สตง. หลังพบพฤติการณ์ส่อผิด กม.ธุรกิจคนต่างต้าว เผยมีการใช้คนไทย 3 รายถือหุ้นไขว้กันหลายบริษัท-เตรียมสอบขยายผลเรื่องคุณภาพเหล็ก ผ่าน มอก.หรือไม่ ควบคู่สอบปมฮั้วประมูล-พรุ่งนี้นัดประชุมหารือสอบพยานเป็นใครบ้าง
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานข่าวความคืบหน้าของกรมสอบสวนคดีพิเศษหรือ DSI ในคดีเกี่ยวกับนอมินีของบริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 บริษัทผู้ก่อสร้างที่ทำการสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (อาคาร สตง.) แห่งใหม่ ความสูง 30 ชั้นซึ่งถล่มจากเหตุแผ่นดินไหว โดย DSI ได้มีการรับคดีนี้เป็นคดีพิเศษที่ 32/2568 ตามความผิด พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 ไปแล้ว
ล่าสุดเมื่อวันที่ 2 เม.ย. เวลา 14.30 น. ที่ห้องประชุม 1 ชั้น 1 อาคารกรมสอบสวนคดีพิเศษ ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดี DSI พร้อมด้วย พ.ต.ต.วรณัน ศรีล้ำ ผอ.กองคดีคุ้มครองผู้บริโภค และในฐานะโฆษกกรมสอบสวนคดีพิเศษ ร่วมกันให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนในกรณีนี้
พ.ต.ต.ยุทธนากล่าวว่า สำหรับการตรวจสอบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ปัจจุบันนี้มีพฤติการณ์ที่เข้าข่ายการกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 หรือนอมินี ซึ่งได้รับไว้ดำเนินการเป็นคดีพิเศษที่ 32/2568 โดยเป็นฐานความผิดที่เข้าลักษณะตามความผิดแนบท้ายบัญชี พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 และที่แก้ไขเพิ่มเติม จึงสามารถใช้ดุลพินิจของอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ พิจารณารับเป็นคดีพิเศษได้โดยไม่ต้องเข้าบอร์ดคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) เนื่องด้วยเข้าเงื่อนไขตามประกาศ กคพ. (ฉบับที่ 8) กำหนดรายละเอียดของลักษณะของการกระทำความผิดฯ ไว้ว่าหากมีเอกสารแสดงงบ แสดงฐานะทางการเงิน หรือมีสินทรัพย์ตั้งแต่ 100 ล้านบาทขึ้นไป จึงอยู่ในอำนาจของอธิบดีฯ ให้รับไว้ดำเนินการเป็นคดีพิเศษได้ ส่วนความผิดฐานอื่น อย่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม พ.ศ. 2511 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 นั้น คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษยังสามารถสืบสวนสอบสวน ขยายผลตามพยานหลักฐานต่อไปได้ หากพบข้อเท็จจริง ก็รับดำเนินการเป็นคดีพิเศษภายหลังได้
พ.ต.ต.ยุทธนา เผยอีกว่า สำหรับรูปแบบพฤติการณ์ของคำว่า “นอมินี“ ตาม พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 ในธุรกิจการก่อสร้าง เป็นเรื่องต้องห้ามของคนต่างด้าว แต่เวลามาประกอบกิจการ ถ้าหากเป็นนิติบุคคล ก็จะอนุญาตให้คนต่างด้าวได้ถือหุ้นอยู่ในสัดส่วน 49% ส่วนคนไทยจะถือหุ้นอยู่ที่ 51% แต่ในจำนวน 51% นี้ของเหล่าคนไทยที่ไปถือหุ้น หากไปตรวจสอบพิสูจน์แล้วพบว่าเป็นนอมินี หรือไม่ได้ลงทุนจริง หรือถือหุ้นแทนคนต่างด้าว ตรงนี้จะต้องพิสูจน์ แต่เบื้องต้นจากการตรวจสอบจากฐานานุรูป มันไม่สอดคล้องกับการที่จะมาถือหุ้นในธุรกิจขนาดใหญ่ได้ แล้วเราก็ยังดูในเรื่องของอำนาจการครอบงำกิจการ ดูหลักฐานการลงนาม การเซ็นเอกสารในสัญญากิจการร่วมค้าต่าง ๆ ดูแล้วทางคนต่างด้าวจะมีอำนาจในการครอบครองกิจการมากกว่า ตรงนี้จึงเชื่อว่ามีมูลที่จะสอบสวนในความผิดตามกฎหมายการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว
“สำหรับบริษัทดังกล่าวนี้ พบมีคนไทยเข้าไปถือหุ้น 3 ราย โดย 1 ในนั้นคือ นายโสภณ มีชัย และพวกอีก 2 ราย แต่จากการตรวจสอบ 2 รายที่ไม่ใช่นายโสภณ พบว่ามีชื่อไขว้กันในหลาย ๆ บริษัท ซึ่งตรงนี้ต้องดูว่าเขามีสถานะที่จะถือหุ้นในหลายบริษัทได้จริงหรือไม่ ซึ่งเราเชื่อว่ามีมูลที่จะต้องสอบสวนต่อไป นอกจากนี้ ยังพบว่าคนไทยกลุ่มนี้ยังถือหุ้นกับบริษัทอื่นไม่ต่ำกว่า 3 บริษัท โดยจะต้องตรวจสอบเส้นทางการจดทะเบียนการประกอบธุรกิจ รายชื่อกรรมการผู้ถือหุ้น และตรวจสอบย้อนหลังเกี่ยวกับกลุ่มบริษัทที่ได้งานประมูลโครงการภาครัฐและอื่น ๆ ว่าเข้าข่ายฮั้วประมูลด้วยหรือไม่ ทั้งนี้ ทราบว่าทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ได้มีการสืบสวนเบื้องต้นแล้ว พร้อมประสานข้อมูลร่วมกัน” อธิบดี DSI กล่าว
พ.ต.ต.ยุทธนา กล่าวต่อถึงปัญหาผลิตภัณฑ์ไม่ได้ตามมาตรฐานอุตสาหกรรมว่าจะเน้นตรวจสอบเรื่อง “เหล็ก” เป็นหลัก โดยกระทรวงอุตสาหกรรม มีการพิสูจน์เบื้องต้นพบเหล็กบางยี่ห้อไม่ตรงสเปก ส่วนรายละเอียดอยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐาน นอกจากนี้ ในส่วนคดีฮั้วประมูลนั้นมันมีความผิดหลายลักษณะ แต่หลักเกณฑ์ คือ มันมีการแข่งขันราคาอย่างไม่เป็นธรรม เช่น อาจมีการล็อกสเปก เป็นต้น
เมื่อถามกรณีที่พนักงานสอบสวน สน.บางซื่อ มีการรวบรวมพยานหลักฐานแฟ้มที่ชาวจีนลักลอบขนออกจากไซต์งานหลังวันเกิดเหตุ จำนวน 37 แฟ้ม พ.ต.ต.ยุทธนา กล่าวว่า ต้องไปตรวจสอบดูก่อนว่าพนักงานสอบสวนตำรวจมีการรับเป็นสำนวนคดีแล้วหรือไม่ ถ้ายังไม่ได้รับเป็นสำนวน DSI ก็สามารถดำเนินการประสานเอาเอกสารดังกล่าวมาสอบสวนเองได้ แต่ถ้าหากพนักงานสอบสวนตำรวจรับเป็นคดีแล้ว DSI ก็สามารถแต่งตั้งให้ตำรวจเข้ามาเป็นพนักงานสอบสวนคดีพิเศษร่วมด้วยได้ เพราะเรื่องนี้เป็นความผิดหลายฐาน แล้วก็เกี่ยวข้องกับความรับผิดชอบหลายหน่วยงาน ก็จะเชิญหน่วยงานต่าง ๆ เช่น กระทรวงอุตสาหกรรม หรืออื่น ๆ ให้มาร่วมสอบสวนด้วยได้เช่นเดียวกัน
อธิบดี DSI กล่าวอีกว่าในวันที่ 3 เม.ย.คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษจะมีการประชุมหารือกันเป็นครั้งแรกเพื่อกำหนดกรอบเวลาว่าจะเรียกบุคคลใดมาสอบปากคำบ้าง แล้วจะต้องมีการกำหนดประเด็นแห่งคดีว่าจะพิสูจน์ในประเด็นใดบ้าง นอกจากนี้ วันนี้ได้มีเจ้าหน้าที่ DSI ไปร่วมตรวจค้นกับกรมสรรพากร โดยเป็นการไปบูรณาการขอข้อมูล แต่รายละเอียดตนยังไม่ได้รับรายงาน เพราะยังอยู่ระหว่างการตรวจค้น ทั้งนี้ ตนยืนยันว่าในการสืบสวนสอบสวน ขยายผลเรื่องอาคารตึกถล่ม ไม่ได้เป็นกังวล แม้มีกระแสข่าวว่าบริษัทที่ก่อสร้างอาคาร สตง. มีความสัมพันธ์กับรัฐบาลจีน เพราะในทางกระบวนการยุติธรรมทางอาญา เราละเว้นใครไม่ได้
“หากพยานหลักฐานไปถึง DSI ก็จะต้องดำเนินการตามข้อเท็จจริงทั้งหมด คงไม่ต้องเกรงกลัวอิทธิพลใด ส่วนกรณีที่มีคนบางกลุ่มในบริษัทมีความสัมพันธ์ที่ดีกับภาครัฐ จะเป็นอุปสรรคหรือไม่นั้น ขอย้ำว่าไม่เป็นอุปสรรค ถ้าพยานหลักฐานไปถึง ก็ต้องดำเนินการ อีกทั้งในส่วนของดีเอสไอเอง เรามีหน้าที่สาวให้ไปถึงตัวการเบื้องหลัง ว่าใครคือผู้ที่ได้รับผลประโยชน์แท้จริง ส่วนการที่อาคารถล่มในครั้งนี้ ตนไม่ทราบว่าเกิดจากสาเหตุภัยพิบัติ หรือ ข้อผิดพลาดจากการก่อสร้าง ขอให้มีการสอบสวนก่อน เราอาจต้องพูดภายใต้พยานหลักฐาน แต่ก็เป็นสิ่งที่หลายคนตั้งข้อสังเกตวิพากษ์วิจารณ์กัน แต่ในฐานะหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย เราต้องสอบสวนด้วยพยานหลักฐาน” พ.ต.ต.ยุทธนากล่าว









Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา