
ทนายความ ‘กิจ หลีกภัย’ แถลงข่าวยืนยันเจ้าตัวเตรียมยื่นอุทธรณ์คดีอนุญาตเอกชนใช้เครื่องจักรให้บริการท่าเรือนาเกลือ ชี้คดีนี้เป็นตัวอย่าง ป.ป.ช.ทำหน้าที่ไม่เหมาะสม เหตุมี จนท.ป.ป.ช.ตรังรับผิดชอบคดี โดนฟ้องหมิ่นประมาท และ มี จนท.ป.ป.ช.ตรังแจ้งความนายกิจข้อหาหมิ่นประมาท
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่าเมื่อวันที่ 23 เม.ย. ที่บ้านวิเศษกุล เลขที่ 183 ถ.วิเศษกุล ต.ทับเที่ยง อ.เมืองตรัง จ.ตรัง นายชัยพร ชูเสน ทีมทนายประจำตัวนายกิจ หลีกภัย อดีตนายกฯอบจ.ตรัง พี่ชายนายชวน หลีกภัย อดีตนายกฯและอดีตประธานรัฐสภา พร้อมด้วย นายธโนภาส สินไชย ผู้ช่วยส.ส.(นายชวน หลีกภัย) รับมอบหมายจากนายกิจให้ร่วมแถลงข่าวคดีคำพิพากษาศาลอาญาทุจริตภาค 9 พิพากษาจำคุกนายกิจ 3ปี 4เดือน แต่ให้รอลงอาญา ในคดีให้บริษัทเอกชนนำเครื่องจักรกลให้บริการที่ท่าเรือนาเกลือ ภายหลังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจิตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้ชี้มูลความผิดแล้ว โดยนายชัยพรได้กล่าวว่ากรณีคำพิพากษาดังกล่าวนั้นเป็นตัวอย่างชัดเจนว่า ป.ป.ช.ทำหน้าที่อย่างไม่เหมาะสม
“นายกิจน้อมรับในคำพิพากษา โดยขอใช้สิทธิ์ในการอุทธรณ์ต่อศาลในชั้นต่อไปตามกระบวนการยุติธรรมต่อไป แต่ที่ต้องเปิดแถลงข่าวก็เพื่อชี้แจงข้อเท็จจริงต่อสาธารณชนในกรณีดังกล่าว สืบเนื่องมาจากป.ป.ช.มีมติชี้มูลความผิด เรื่องทำบันทึกข้อตกลง MOU ให้ บริษัท ชูไก จำกัด (มหาชน) นำเครื่องจักรกล 8รายการ เข้าให้บริการยกขน สินค้าและจอดประจำที่ท่าเรือบ้านนาเกลือ โดยไม่เก็บค่าธรรมเนียมการจอด ตามที่ปรากฏเป็นข่าวสื่อมวลชน จากการแถลงข่าวของสำนักงานป.ป.ช.ประจำจังหวัดตรัง นั้น ในกรณีนี้ป.ป.ช.ไม่ได้เป็นหน่วยงาน ต้นแบบที่แสดงให้เห็นถึงการใช้อำนาจที่เหมาะสม” นายชัยพรกล่าว
ทนายความของนายกิจกล่าวต่อไปว่า ก่อนที่จะมีการชี้มูล ป.ป.ช.ตรังระบุการกระทำของนายกิจไม่ได้ศึกษาวิเคราะห์โครงการ ไม่ได้นำเรื่องเสนอสภาฯ ไม่ได้เสนอผู้ว่าฯ ไม่ได้ประกาศเชิญชวน ไม่ได้จัดให้มีการประมูล จึงเป็นการกระทำกระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนต่อพ.ร.บ.อบจ. พ.ศ.2541 และระเบียบกระทรวงมหาดไทย เป็นการกระทำโดยมิชอบด้วยหน้าที่ อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 และเป็นความผิดตามพรบ. ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต นั้น ก่อนหน้านี้เจ้าหน้าที่ป.ป.ช.ประจำจังหวัดตรัง ได้ถูกนายกิจ แจ้งความดำเนินคดีอาญาในข้อหาหมิ่นประมาท ที่สถานีตำรวจภูธรเมืองตรัง นอกจากนี้นายกิจยังได้ร้องเรียนเจ้าหน้าที่และผอ.ป.ป.ช.ตรัง ต่อประธานคณะกรรมการป.ป.ช. ให้ตั้ง กรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงให้ลงโทษเจ้าหน้าที่ป.ป.ช.ตรังด้วย
“เหตุการณ์ความขัดแย้งดังกล่าวแสดงให้เห็นว่านายกิจ มีความขัดแย้งกับกลุ่มเจ้าหน้าที่บางคนในสำนักงานป.ป.ช.ตรังจริง นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ป.ป.ช.ตรังก็ได้ฟ้องคดีอาญานายกิจ และนายชาญยุทธ เกื้ออรุณ อดีตเลขานุการนายกฯอบจ.ตรัง(นายกิจ) เป็นคดีอาญาในข้อหาหมิ่นประมาทต่อศาลจังหวัดตรังด้วยอีก 1 คดี เหตุการณ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงความขัดแย้งระหว่างกลุ่มเจ้าหน้าที่บางคนในสำนักงานป.ป.ช.ปปช.ตรัง กับนายกกิจ อย่างชัดเจน ซึ่งศาลได้มีคำพิพากษาให้นายกิจชนะคดีเจ้าหน้าที่ป.ป.ช.ตรังทั้ง 3 ศาล” นายชัยพรกล่าว
นายชัยพร กล่าวต่อว่า ในคดีนี้ เมื่อมีการร้องเรียนว่านายกิจไม่ได้ปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงมหาดไทย ไม่ปฏิบัติตามพ.ร.บ.อบจ. จนท้ายที่สุดคณะกรรมการป.ป.ช.มีมติขี้มูลความผิดดังกล่าวต่อนายกิจ โดยในส่วนที่คณะกรรมการป.ป.ช. มีมติว่า การที่บริษัท ชูไก นำเครื่องจักรกล 8 รายการมาจอดไว้ที่ท่าเทียบเรือบ้านนาเกลือเกิน 24 ชั่วโมง โดยนายกิจไม่ได้เรียกเก็บค่าธรรมเนียมการจอดนั้น คณะกรรมการป.ป.ช.มีมติว่านายกิจ ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ไม่เก็บ ค่าธรรมเนียมค่าจอดเครื่องจักรกลที่บริษัท ชูไก นำมาจอดไว้ และได้ส่งสำนวนการไต่สวนให้อัยการสูงสุดยื่นฟ้องนายกิจ ในข้อหาดังกล่าว และเมื่อศาลคดีอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 9 ได้มีการไต่สวนหรือสืบพยานแล้วก็ได้มีคำพิพากษายกฟ้อง ซึ่งก็หมายความว่านายกิจชนะคดีในความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ตามมาตรา 157 คำพิพากษาดังกล่าวจึงยืนยันว่า นายกิจไม่ได้กระทำความผิด
“ท่านนายกฯกิจท่านยืนยันว่า ตลอดการทำงานที่ผ่านมาท่านดำเนินการด้วยความสุจริต และศาลท่านพิพากษาในประเด็นของการขัดระเบียบในการดำเนินการ การแถลงข่าวในวันนี้ก็เพื่อยืนยันว่า เป็นเรื่องของการผิดระเบียบ ไม่ได้เป็นการทุจริต และนายกิจก็ขอใช้สิทธิ์ในการยื่นอุทธรณ์ตามกระบวนการยุติธรรมต่อไป ที่วันนี้ที่ท่านไม่ได้มาร่วมแถลงด้วยเนื่องจากติดปัญหาสุขภาพ เพราะอายุมากแล้ว แต่ขวัญกำลังใจท่านนั้นยังดี”นายชัยพรกล่าว
ทนายความนายกิจกล่าวต่อไปว่า เรียนว่าจำเลยน้อมรับคำพิพากษาของศาลอาญาคดีทุจริต และประพฤติมิชอบ ภาค 9 ซึ่งเป็นศาลชั้นต้น แต่ในส่วนการไม่ปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงมหาดไทย และศาลได้มีคำพิพากษาว่าจำเลยมี เจตนาฝ่าฝืนพ.ร.บ.อบจ. เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการเสนอราคาต่อหน่วยงานราชการ และเป็นความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 นั้น จำเลยยังคงยืนยันว่าตนเองไม่ได้ทุจริต ไม่ได้มีเจตนาฝ่าฝืนระเบียบกฎหมาย นายกิจยืนยันในความ สุจริต ไม่ได้มีเจตนาทุจริตหาประโยชน์เพื่อตนเองและพวกพ้องแต่อย่างใด เพียงแต่จำเลยไม่ได้ปฏิบัติตามแนวทางตามระเบียบกระทรวงมหาดไทย และไม่ได้ปฏิบัติตามพ.ร.บ.อบจ. ที่ต้องนำเรื่องเข้าสภาอบจ.เพื่อให้สภาพิจารณา และไม่ได้เสนอผู้ว่าฯให้เห็นชอบ ไม่ได้จัดให้มีการประมูล เนื่องจากในขณะนั้นเลขานุการนายกฯ คือนายชาญยุทธ มีความเห็นว่า อบจ.ตรังสามารถทำบันทึกข้อตกลงให้บริการเครื่องจักรกลกับบริษัทชูไก ได้เลย โดยไม่จำต้องนำเรื่องนี้เข้าสภา และไม่ต้องเสนอผู้ว่าฯเห็นชอบ จึงไม่ต้องจัดให้มีการประมูล ซึ่งเป็นความเห็นที่แตกต่างกันในเรื่องระเบียบกฎหมายของนักกฎหมายเท่านั้น นายกกิจไม่ได้มีเจตนาทุจริตแต่อย่างใด ซึ่งนักกฎหมายแต่ละคนอาจมีความเห็นหรือตีความแตกต่างกันได้เป็นเรื่องปกติ
นายชัยพรกล่าวด้วยว่า สำหรับคดีที่ 2 ของนายกิจซึ่งรอการพิจารณาของศาลอาญาทุจริตฯอีกคดี คือคดีที่ป.ป.ช.ชี้มูลกรณีจัดซื้อที่ดินก่อสร้างท่าเรือนาเกลือแพงเกินจริงนั้น ยืนยันในความพร้อมต่อสู้คดี เพราะในแง่ความเป็นจริง การจัดซื้อที่ดินมีความจำเป็น เนื่องจากพื้นที่ก่อสร้างท่าเรือมีพื้นที่จำกัด ไม่เพียงพอต่อการรองรับสินค้า จึงจำเป็นต้องมีการจัดซื้อเพิ่มเติม ส่วนประเด็นการตั้งข้อสังเกตุเรื่องซื้อราคาแพงนั้น ต้องเข้าใจว่าในสภาพความเป็นจริงที่ดินบริเวณดังกล่าว มีการพัฒนา มีความเจริญขึ้นเรื่อยๆเพราะเป็นเขตอุตสาหกรรมการเดินเรือ ซึ่งราคาซื้อขายจริงจะสูงกว่าราคาประเมินมาก และในโลกความเป็นจริง ไม่มีใครที่จะขายที่ดินในราคาประเมินตามเกณฑ์หทั่วไปแน่นอน ซึ่งเหตุผลเหล่านี้จะใช้ประกอบการต่อสู้คดีในชั้นศาลต่อไป
สำนักข่าวอิศรารายงานเพิ่มเติมว่าสำหรับการพิพากษาของนายกิจที่ศาลอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบ ภาค 9 นั้นเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 10 เม.ย.2568 โดยศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า นายกิจมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 12 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปราบการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 123/1 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 172 จึงพิพากษาให้จำเลยจำคุก 5 ปี และปรับ 120,000 บาท การสืบพยานของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ จึงลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุก 3 ปี 4 เดือน และปรับ 68,000 บาท โทษจำคุกรอไว้ 2 ปี

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา