
‘กรมพัฒนาธุรกิจการค้า’ เปิดรับฟังร่างประกาศฯฉบับใหม่ กำหนดคุณสมบัติ ‘ผู้ทำบัญชี’ ห้ามช่วยเหลือ-สนับสนุน-ร่วมประกอบธุรกิจกับ ‘นอมินี’ต่างด้าว - อรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒน์ฯ เผยเบื้องหลัง มีสำนักบัญชี รู้เห็น-ช่วยเหลือ
................................
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ 23 เม.ย.ที่ผ่านมา กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดรับฟังความคิดเห็นต่อ ร่างประกาศกรมพัฒนาธุรกิจการค้า (กำหนดคุณสมบัติและเงื่อนไขผู้ทำบัญชี) ซึ่งเป็นการปรับปรุงคุณสมบัติของการเป็นผู้ทำบัญชีตาม พ.ร.บ.การบัญชี พ.ศ.2543 ให้เหมาะสมสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน โดยกรมฯจะเปิดรับฟังความคิดเห็นฯไปจนถึงวันที่ 7 พ.ค.2568
สำหรับสาระสำคัญของร่างประกาศฯฉบับนี้ กำหนดห้ามบุคคลที่ให้การช่วยเหลือ หรือสนับสนุน หรือร่วมประกอบธุรกิจกับคนต่างด้าว หรือถือหุ้นแทนคนต่างด้าวในธุรกิจที่อยู่ในบัญชีท้าย อันเป็นการขัดต่อ พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 เว้นแต่ต้องคำพิพากษาหรือพ้นคดีปรับเป็นพินัยในฐานความผิดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคุณสมบัติที่กำหนดตามมาตรา 7 (6) แห่ง พ.ร.บ.การบัญชี พ.ศ.2543 มาแล้วไม่น้อยกว่า 2 ปี เป็นผู้ทำบัญชี
“โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงคุณสมบัติของการเป็นผู้ท าบัญชีตามพระราชบัญญัติการบัญชี พ.ศ.2543 ให้เหมาะสมสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 7 (6) แห่งพระราชบัญญัติการบัญชี พ.ศ. 2543 อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้าโดยความเห็นชอบของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ออกประกาศไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ 1 ประกาศนี้เรียกว่า “ประกาศกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เรื่อง ก าหนดคุณสมบัติและเงื่อนไขของการเป็นผู้ทำบัญชี (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....”
ข้อ 2 ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (6) ของข้อ 4 แห่งประกาศกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เรื่อง กำหนดคุณสมบัติและเงื่อนไขของการเป็นผู้ทำบัญชีพ.ศ. 2557 ลงวันที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ.2557
“(6) ต้องไม่เป็นบุคคลที่ให้การช่วยเหลือ หรือสนับสนุน หรือร่วมประกอบธุรกิจกับคนต่างด้าว หรือถือหุ้นแทนคนต่างด้าวในธุรกิจที่อยู่ในบัญชีท้าย อันเป็นการขัดต่อพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 เว้นแต่
(ก) ต้องคำพิพากษาหรือพ้นคดีปรับเป็นพินัยในฐานความผิดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคุณสมบัติที่กำหนดตามมาตรา 7 (6) แห่งพระราชบัญญัติการบัญชี พ.ศ.2543 มาแล้วไม่น้อยกว่า 2 ปีหรือ
(ข) เป็นผู้ที่ได้ให้ถ้อยคำ หรือแจ้งเบาะแส หรือข้อมูลอันเป็นสาระสำคัญจนสามารถใช้เป็นพยานหลักฐานดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดตามมาตรา 36 แห่งพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542”
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป” ร่างประกาศกรมพัฒนาธุรกิจการค้า (กำหนดคุณสมบัติและเงื่อนไขผู้ทำบัญชี) ที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้า นำมาเปิดรับฟังความคิดเห็นฯระบุ
กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ระบุถึงเหตุผลในการจัดทำร่างประกาศฯฉบับนี้ว่า ปัจจุบันพบว่า มีผู้ทำบัญชีจำนวนมากที่ให้ความช่วยเหลือหรือสนับสนุน หรือร่วมประกอบธุรกิจกับคนต่างด้าว หรือถือหุ้นแทนคนต่างด้าว เพื่อให้คนต่างด้าวประกอบธุรกิจโดยไม่ต้องขออนุญาต ซึ่งการกระทำดังกล่าวเป็นความผิดตามมาตรา 36 แห่ง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 หากไม่ดำเนินการป้องปรามผู้ทำบัญชี อาจส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการไทยที่ประกอบธุรกิจในลักษณะเดียวกันที่ยังไม่พร้อมจะแข่งขันในการประกอบธุรกิจกับคนต่างด้าว
@ อรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า @
@ เผย เบื้องหลังยกร่างประกาศฯ สำนักบัญชี รู้เห็น-ช่วยเหลือ
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า นายนภินทร ศรีสรรพางค์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการป้องกันและป้องปรามธุรกิจอำพรางของคนต่างด้าว (Nominee) ได้ให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาคนต่างด้าวเข้ามาประกอบธุรกิจในไทยโดยพยายามเลี่ยงกฎหมายและใช้คนไทยเป็นตัวแทนอำพราง (นอมินี) ในธุรกิจที่ พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 กำหนดห้ามคนต่างด้าวประกอบธุรกิจ
โดยจากการสอบสวนขยายผลการกระทำความผิดนอมินีในหลายคดีที่ผ่านมา พบว่า มีสำนักงานบัญชีและผู้ทำบัญชีมีส่วนเกี่ยวข้องรู้เห็นกับการกระทำความผิด โดยให้คำแนะนำและดำเนินการช่วยเหลือการจดทะเบียนจัดตั้งนิติบุคคลให้ชาวต่างชาติโดยใช้ชื่อคนไทยเป็นกรรมการ ผู้ถือหุ้น ในลักษณะนอมินี เพื่อให้คนต่างด้าวสามารถเข้ามาประกอบธุรกิจในไทยได้โดยหลีกเลี่ยงการปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมาย
ทั้งนี้ เนื่องจาก พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของ คนต่างด้าว พ.ศ. 2542 กำหนดให้คนต่างด้าวที่ประสงค์จะประกอบธุรกิจในไทย โดยถือหุ้นตั้งแต่กึ่งหนึ่ง (50% ของทุนทั้งหมด) ในประเภทธุรกิจที่ปรากฏในบัญชีท้าย พ.ร.บ.ฯ อาทิ การก่อสร้าง การค้าปลีก (ที่มีทุนขั้นต่ำน้อยกว่า 100 ล้านบาท) การค้าส่ง (ที่มีทุนขั้นต่ำน้อยกว่า 100 ล้านบาท) การทำกิจการโรงแรม การนำเที่ยว การขายอาหารหรือเครื่องดื่ม หรือทำธุรกิจบริการอื่นๆ จะต้องได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว โดยคนต่างด้าวที่ฝ่าฝืนถือเป็นความผิดตามมาตรา 37 แห่งพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับ ตั้งแต่ 1 แสนบาท - 1 ล้านบาท หรือทั้งจำและปรับ และคนไทยที่ให้ความช่วยเหลือ สนับสนุน กระทำความผิดนอมินี จะมีความผิดตามมาตรา 36 ซึ่งต้องระวางโทษในอัตราเดียวกัน
ดังนั้น เพื่อป้องปรามผู้ทำบัญชีไม่ให้กระทำการช่วยเหลือ ส่งเสริม สนับสนุนต่างด้าวประกอบธุรกิจโดยผิดกฎหมาย ซึ่งส่งผลกระทบให้เกิดการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมกับผู้ประกอบการไทย ประธานคณะอนุกรรมการฯ ได้มอบนโยบายให้กรมพัฒนาธุรกิจการค้ายกร่างประกาศกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เรื่อง กำหนดคุณสมบัติและเงื่อนไขของการเป็นผู้ทำบัญชี (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....ขึ้น เพื่อกำหนดห้ามบุคคลที่มีพฤติกรรมดังกล่าวเป็นผู้ทำบัญชีตามกฎหมายว่าด้วยการบัญชี โดยได้จัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นร่างประกาศฯ ผ่านระบบกลางทางกฎหมาย www.law.go.th ระหว่างวันที่ 23 เมษายน - 7 พฤษภาคม 2568 เชิญผู้สนใจร่วมแสดงความคิดเห็นผ่านช่องทางดังกล่าว
ร่างประกาศกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เรื่อง กำหนดคุณสมบัติและเงื่อนไขของการเป็นผู้ทำบัญชี (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ผู้ทำบัญชีต้องไม่เป็นผู้ให้การช่วยเหลือ สนับสนุน ร่วมประกอบธุรกิจ หรือถือหุ้นแทนคนต่างด้าว หากพบว่าผู้ทำบัญชีมีพฤติกรรมดังกล่าว นอกจากจะมีความผิดทางพินัย ซึ่งจะต้องชำระค่าปรับเป็นพินัยไม่เกิน 10,000 บาท ตามมาตรา 27 แห่งพระราชบัญญัติการบัญชี พ.ศ. 2543 แล้ว ก็จะขาดคุณสมบัติการเป็นผู้ทำบัญชีตามร่างประกาศฉบับนี้ เว้นแต่ 1) พ้นกำหนด 2 ปี นับแต่วันที่ได้ชำระค่าปรับเป็นพินัยหรือศาลได้พิพากษาว่ามีความผิดดังกล่าว หรือ 2) ได้ให้ถ้อยคำ หรือ แจ้งเบาะแส หรือข้อมูลอันเป็นสาระสำคัญจนสามารถใช้เป็นพยานหลักฐานดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดตามมาตรา 36 แห่งพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 บุคคลดังกล่าวจึงจะสามารถกลับมาเป็นผู้ทำบัญชีได้อีกครั้ง
นางอรมน กล่าวว่า การกำหนดห้ามบุคคลที่มีพฤติกรรมดังกล่าวเป็นผู้ทำบัญชีจะเป็นการปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติ และสร้างความเป็นธรรมในการประกอบธุรกิจ รวมถึงเป็นการสร้างสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เป็นธรรมสำหรับผู้ประกอบการชาวไทยและชาวต่างชาติที่ประกอบธุรกิจอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ทั้งนี้ สามารถแสดงความคิดเห็นต่อร่างประกาศฯ ผ่านระบบกลางทางกฎหมาย www.law.go.th ระหว่างวันที่ 23 เมษายน - 7 พฤษภาคม 2568

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา