
ผู้ว่าฯกทม.ฉายภาพผลงาน 3 ปีด้านการปราบปรามทุจริตคอร์รัปชั่น ชี้ดีขึ้นแต่ไม่ 100% ยอมรับกทม.มีอำนาจสอบสวนแค่เรื่องวินัย ต้องพึ่งหน่วยงานนอกทั้ง ป.ป.ช./ป.ป.ท./ปปป. ส่วนการปรับแก้ระเบียบขอดูก่อน
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า วันที่ 7 พฤษภาคม 2568 นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) เปิดเผยว่า ในการแถลงผลงานในโอกาสการทำงานครบรอบ 3 ปี นั้น งานด้านการปราบปรามทุจริตคอร์รัปชั่น ในช่วงที่ผ่านมามีเหลายหตุการณ์เกิดขึ้น อาทิ การจัดซื้อเครื่องออกกำลังกาย ที่สังคมตั้งข้อสังเกตถึงมูลค่าง่าสูงไปนั้น จากเหตุการณ์นี้ กทม.ได้ปรับปรุงการตั้งงบประมาณ โดยร่วมกับองค์กรต่อต้านคอร์รัปชั่น (ประเทศไทย) ในการนำโครงการต่างๆไปไว้ในแพลตฟอร์ม ACT Ai Open Data Center ฐานข้อมูลเปิดเพื่อการต่อต้านคอร์รัปชัน เพื่อประโยชน์ในการตรวจสอบ รวมถึงการเปิดเผยให้ประชาชนรับทราบ
“หัวใจของการต่อต้านการทุจริต จริงๆคือการร่วมมือกับหน่วยงานนอก โดยเฉพาะคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.), สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) และกองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) เพราะหน่วยงานเหล่านี้มีกำลังไปตรวจสอบ มีอำนาจเรียกบุคคลมาชี้แจง รวมถึงมีอำนาจในการตรวจสอบเส้นทางทางการเงินด้วย ขณะที่กทม.ทำได้เพียงตรวจสอบทางวินัยว่า ทำผิดหรือเปล่า ซึ่งคนที่ทุจริตจำนวนมากรู้ช่องทาง เพราะฉะนั้นการเอาผิดทางวินัยก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ และที่ผ่านมาเราได้ไล่คนของเราออกไปแล้ว 28 คนจากเหตุการณ์ทุจริตต่างๆ ก็เชื่อว่าจากการเอาจริงเอาจังตรงนี้ ผมก็เชื่อว่าสถานการณ์ของเราก็จะดีขึ้น” นายชัชชาติระบุ
ต่อมา ผู้สื่อข่าวสอบถามว่า อยากทราบแผนงานด้านการปราบปรามทุจริตที่เป็นรูปธรรม เพราะที่ผ่านมา กทม.มีการจับกุมผู้ที่กระทำการทุจริตอยู่มาก แต่ยังไม่มีแผนที่เป็นรูปธรรมมากนัก นายชัชชาติตอบว่า ที่ผ่านมา กทม.ก็ทำในหลายด้าน ที่เป็นรูปธรรมมากที่สุดคือ การร่วมมือกับหน่วยงานนอกอย่างที่บอกไป ซึ่งมี*พล.ต.อ. อดิศร์ งามจิตสุขศรี ที่ปรึกษาของผู้ว่าฯกทม.คอยประสานงานเสมอ ส่วนการเอาจริงเอาจังตั้งแต่ระดับบนสุดถึงล่างสุด ยอมรับว่ามีคำถามถึงการสอบสวนด้านวินัยที่ช้า ก็ต้องเรียนว่า กทม.ก็ต้องทำตามระเบียบปฏิบัติที่มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวน ซึ่งก็เป็นอำนาจของแต่ละหน่วยเอง ฝ่ายลริหารจะไปก้าวล่วงคงไม่ได้ แต่คนที่ตั้งใตทุจริตก็ต้องยอมรับว่า คนเหล่านี้ก็หาช่องโหว่ในการทำงานอยู่ตลอด การสอบสวนทางวินัยเป็นขั้นพื้นฐานที่มี แต่กทม.ไม่มีอำนาจไปสอบเส้นทางการเงิน หรือเรียกบุคคลมาชี้แจงได้ ดังนั้น หัวใจในการต่อสู้ทุจริตจึงต้องพึ่งพาหน่วยงานนอกตามที่กล่าวมา เพราะหน่วยงานต่างๆที่บอกไว้เขามีอำนาจในการตรวจเชิงลึก รวมถึงการเอาข้อมูลขึ้นระบบ open data โดยส่วนตัวคิดว่าสถานการณ์การทุจริตในกทม.ดีขึ้น แต่ไม่ 100% ก้คงต้องถามประชาชนด้วย*
ขณะที่นายจักกพันธุ์ ผิวงาม รองผู้ว่าฯกทม.กล่าวว่า ได้มีการทำความเข้าใจกับข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของกทม.ให้รู้ถึงข้อดีข้อเสียในการกระทำทุจริต เรื่องการให้ค่าตอบแทนก็กำลังผลักดันให้มีการปรับเพิ่มทุกระดับ
สื่อมวลชนถามอีกว่า ที่ผู้ว่าฯกทม.บอกว่าติดขัดเรื่องระเบียบในการตรวจสอบ จะมีการปรับเปลี่ยนระเบียบอะไรหรือไม่ อาจจะปรับปรุงให้กทม.มีอำนาจสอบสวนได้มากขึ้น แทนที่จะพึ่งแต่หน่วยงานนอกนั้น ผู้ว่าฯกทม.ตอบว่า ก็สอบก่อนอยู่แล้วถ้าพบเหตุการณ์ขึ้นมา มันเป็น 2 ขา คือเราสอบวินัยและหน่วยงานนอกก็สอบสวนไป แต่มันจะมีบ้างที่กฎบางอย่างของหน่วยงานนอกเหนือกว่า กทม. เช่น กรณีป.ป.ช.ชี้มูลความผิดใครสักคน ก็เคยมีหนังสือให้กทม.ไม่ต้องสอบสวนทางวินัย เพราะคนๆนี้มีความผิดตามที่ ป.ป.ช.ชี้มูลไปแล้ว เราก็ต้องทำตามกฎหมายที่มี ขณะที่การปรับแก้กฎระเบียบที่เกี่ยวข้องก็ดูก่อนว่า ทำได้มากน้อยแค่ไหน คิดว่าเรื่องนี้มันต้องช่วยกันหลายหน่วย การสอบภายในเองก็ไม่ง่าย หลายๆหน่วยงานคงเห็นปัญหาเหมือนกัน อย่างเช่นเรื่องการจัดซื้อเครื่องออกกำลังกายที่เป็นประเด็น กทม.เคยเรียกเอกชนมาชี้แจง ทางนั้นก็ไม่เคยมาตามที่นัดหมาย เพราะกทม.ไม่ได้มีอำนาจให้คุณให้โทษหากไม่มาชี้แจง แต่พอ ป.ป.ช.เรียก เอกชนก็ไปทางนั้นแทน


Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา