‘เศรษฐพุฒิ’ มอง ‘สงครามการค้า’ ทำภาพเศรษฐกิจไทยเป็น ‘ตัว V ขากว้าง’ แนะมาตรการดูแลผลกระทบฯ ต้องใม่ใช่การ ‘ปูพรม’ แต่ต้องเป็นนโยบาย 'เฉพาะกลุ่ม' เหตุผลกระทบแตกต่างกัน พร้อมปรับ ‘ดอกเบี้ยฯ’ หาก outlook เปลี่ยนอย่างมีนัยยะ
..............................
เมื่อวันที่ 9 พ.ค. นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยในงาน Meet the Press ถึงผลกระทบกรณีสหรัฐฯปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศต่างๆ ว่า ขณะนี้ยังไม่เห็นผลกระทบในมิติต่างๆอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในแง่การค้า เพราะเมื่อทุกคนทราบว่าสหรัฐฯจะมีการขึ้นภาษีนำเข้าฯ จึงได้เร่งนำเข้าสินค้าในช่วงที่ผ่านมา อย่างไรก็ดี จากสถานการณ์ที่มีความไม่แน่นอนสูง ทำให้เริ่มเห็นการชะงักและการชะลอตัวของการลงทุนแล้ว
“ถามว่าพายุที่เข้ามา จะมาโดนเราจริงๆเมื่อไพหร่ ก็ตอบว่า คงไม่เห็นเร็ว ผลของมัน คงไม่เห็นเร็ว เพราะตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงการเจรจา แต่ผลจริงๆ ที่จะเริ่มเห็นหนักๆ คงจะเห็นในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ โดยเฉพาะในช่วงไตรมาส 4” นายเศรษฐพุฒิ กล่าวและว่า “ผลกระทบในรอบนี้ จากพายุตัวนี้ จะใช้เวลานาน ไม่จบเร็ว แล้วที่บอกว่าภายในเวลา 90 วัน ทุกอย่างจะเคลียร์ ผมคิดว่า คงไม่ใช่ เพราะประเทศที่เจรจามีจำนวนมาก และการเจรจาก็คงไม่ง่าย”
นายเศรษฐพุฒิ ยังระบุว่า สำหรับรูปร่างหน้าตาของผลกระทบจากมาตรภาษี tariff ของสหรัฐฯ ต่อเศรษฐกิจไทยในรอบนี้ คงจะไม่ใช่เป็นลักษณะ ‘ตัว V’ หรือ ตัว ‘U’ หรือ ‘ตัว W’ และคงไม่ใช่ ‘ตัว L’ ด้วย แต่จะมีลักษณะเป็น ‘ตัว V ที่มีขากว้างๆ’ โดยน่าจะเห็นจุดต่ำสุด ‘ไม่เร็วไปกว่าในช่วงไตรมาส 4 ปีนี้’ ส่วนจะลงลึกแค่ไหน คงต้องขึ้นอยู่กับผลการเจรจาระหว่างสหรัฐกับประเทศต่างๆ โดยเฉพาะระหว่างสหรัฐกับจีน รวมถึงผลการเจรจาระหว่างสหรัฐกับไทย
“ถ้าเกิดเป็นฉากทัศน์ที่ว่า เกิดสงครามการค้าอย่างเต็มที่ คุยกันไม่ได้เลย โดยเฉพาะระหว่างสหรัฐกับจีน การค้าระหว่าง 2 ประเทศ ไปไม่ได้เลย ตัว V ขาลง ก็จะชันกว่านี้ จุดต่ำสุด ก็จะลึกกว่านี้ด้วย ดังนั้น ในช่วงนี้ เราจึงต้องจับตามองการเจรจาระหว่าง เบอร์ 1 และเบอร์ 2 เป็นตัวสำคัญ เพราะมีผลกระทบต่อโลก และต่อไทย รวมถึงต้องติดตามว่าการเจรจาของเรากับสหรัฐว่า จะได้เงื่อนไขอย่างไร” นายเศรษฐพุฒิ กล่าว
นายเศรษฐพุฒิ ประเมินว่า ในการเจรจาระหว่างสหรัฐกับประเทศต่างๆ คงไม่ใช่การเจรจารอบเดียวแล้วจบ และในท้านยที่สุดภาษี tariff ที่สหรัฐเก็บจากประเทศต่างๆ คงลดลง แต่จะอยู่ในอัตราไม่น้อยกว่า 10% เห็นได้จากการเจรจาระหว่างสหรัฐ และสหราชอาณาจักร (UK) สหรัฐยังเก็บภาษี UK ในอัตรา 10% ทั้งๆที่สหรัฐไม่ได้ขาดดุลการค้ากับ UK เลย ดังนั้น ภาษีนำเข้าในอัตรา 10% น่าจะยังอยู่ต่อไป และอัตราดังกล่าวถือว่าไม่น้อย เพราะเดิมภาษีตรงนี้อยู่ที่เฉลี่ย 2%
นายเศรษฐพุฒิ กล่าวต่อว่า เมื่อมาตรภาษี tariff มีความชัดเจนและนิ่งแล้ว สิ่งที่จะตามมา คือ การปรับตัวของซัพพลายเชน ซึ่งต้องใช้เวลาปรับตัวนานเป็นปี ในขณะที่ภาคการผลิตที่ได้รับผลกระทบจากมาตรภาษี tariff ของสหรัฐ คือ กลุ่มที่ส่งออกสินค้าไปสหรัฐในสัดส่วนที่สูงใน 5 เช็กเตอร์ ได้แก่ กลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า กลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์และยางล้อ กลุ่มอาหารแปรรูป กลุ่มเครื่องจักร และกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงกลุ่มที่อยู่ในซัพพลายเชน ซึ่งผลิตและส่งออกสินค้าไปสหรัฐ
ขณะเดียวกัน ยังมีกลุ่มที่น่าเป็นห่วงมากเป็นพิเศษ คือ กลุ่มที่จะได้รับผลกระทบจากสินค้านำเข้าที่ทะลักเข้ามาในประเทศไทย
“การที่ประเทศต่างๆ รวมถึงเรา ไม่สามารถส่งออกไปสหรัฐได้ สิ่งที่จะตามมา คือ สินค้าส่งออกเหล่านั้น ต้องไปที่อื่น และที่หนึ่งที่จะไป คือ บ้านเรา ดังนั้น โอกาสที่สินค้าต่างๆจะทะลักเข้ามาในไทยก็สูง และสินค้าที่ทะลักเข้ามาเหล่านี้ จะไปกระทบกับหลายธุรกิจ” นายเศรษฐพุฒิ กล่าว
นายเศรษฐพุฒิ กล่าวด้วยว่า เมื่อเปรียบเทียบผลกระทบจากมาตรภาษี tariff ของสหรัฐฯ กับช็อคอื่นๆที่ประเทศไทยเคยเจอแล้ว คิดว่าไม่หนักเท่ากับวิกฤติอื่นๆที่ประเทศไทยเคยเจอมา ไม่ว่าจะเป็นช่วงโควิด ช่วงวิกฤติปี พ.ศ.2540 และช่วงวิกฤตการณ์ทางการเงินปี 2008 เนื่องจากปัจจุบันมูลค่าเพิ่มจากการส่งออกสินค้าไทยไปสหรัฐฯทั้งหมดอยู่ที่ประมาณ 2.2% ของจีดีพีเท่านั้น อย่างไรก็ตาม มาตรภาษี tariff ของสหรัฐฯดังกล่าว จะมีผลกระทบในระยะยาวอย่างมหาศาล
“หลังพายุผ่านไปแล้ว จะเป็นอย่างไร ก็ต้องบอกว่า โลกจะเปลี่ยนแปลงไปเลย จากสถานการณ์ตรงนี้ การที่เราจะต้องปรับตัวต่างๆ เพื่อให้อยู่อย่างสง่างามในโลก หลังพายุตัวนี้ มีความจำเป็นอย่างสูงเป็นพิเศษ” นายเศรษฐพุฒิ กล่าวและว่า “ถ้าไม่มีการปรับตัว ไม่มีการเปลี่ยนแปลง อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจในช่วงหลัง จะต่ำกว่าระดับที่เคยอยู่ในสมัยก่อน เนื่องจากการที่สหรัฐฯขึ้นภาษีต่างๆ จะทำให้การค้าโลกโดยรวมชะลอตัวลง และเศรษฐกิจโลกเติบโตลดลง”
อย่างไรก็ดี นายเศรษฐพุฒิ กล่าวว่า มีโอกาสที่เศรษฐกิจไทยจะมีอัตราการเติบโตสูงกว่าในช่วงก่อนเกิดสงครามการค้าได้ ซึ่งจะต้องมาจาก 2 ปัจจัย ได้แก่ 1.แม้ว่าสหรัฐเป็นตลาดที่ใหญ่ในโลก โดยมีสัดส่วนการนำเข้าต่อเศรษฐกิจโลกคิดเป็น 15% ของโลก แต่หากอีก 85% ที่เหลือ หันหน้าเข้าหากัน ลดกำแพงภาษีและที่ไม่ใช่ภาษีระหว่างกัน มีการค้าขายกันมากขึ้น ก็เป็นไปได้ว่า การค้าของโลกและไทยจะดีกว่าแต่ก่อน ซึ่งจะทำให้อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยดีขึ้น
2.เศรษฐกิจไทยมีจุดแข็งในภาคบริการ หากไทยสามารถสามารถยกระดับภาคบริการให้มีมูลค่าสูงขึ้น ไม่ใช่การท่องเที่ยวแบบเดิมๆแล้ว จะทำให้เศรษฐกิจไทยมีอัตราการเติบโตสูงกว่าแต่ก่อนได้
@มาตรการรองรับผลกระทบฯ แต่ต้องไม่ใช่การ‘ปูพรม’
นายเศรษฐพุฒิ กล่าวต่อว่า ในช่วงที่พายุกำลังมา เรือจะแล่นด้วยความเร็วแบบเดิมไม่ได้ และความเร็วของเรือจะต้องชะลอลง เพราะพายุอย่างแน่นอน ดังนั้น โจทย์ของนโยบายในตอนนี้ จึงใช่เรื่องการกระตุ้นให้เรือแล่นไปเร็วแบบเดิม แต่อยู่ที่ว่า 1.จะทำอย่างไรให้ช็อคที่เจอเบาลง และผลกระทบไม่ลึกมากนัก 2.การช่วยหรือเอื้อให้การเกิดการปรับตัวได้เร็วขึ้น และเอื้อให้อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาวดีกว่าเดิม
“มาตรการที่จะต้องออกมา ต้องไม่ใช่ เป็นอะไรที่ปูพรม เพราะผลกระทบต่างๆที่เกิดขึ้น จะมีความแตกต่างกันไปค่อนข้างมาก ขึ้นอยู่กับว่าคุณอยู่ตรงไหน เพราะพายุที่มากระทบคนไม่เท่ากัน ไม่เหมือนกัน อย่าง 5 เช็กเตอร์ที่ส่งออกไปสหรัฐค่อนข้างมากนั้น หน้าตาของเขา ผลกระทบของเขา และสิ่งที่เราต้องพยายามทำ เพื่อไม่ให้ช็อคในครั้งนี้ลงลึก จึงมีแนวทางค่อนข้างแตกต่างกัน” นายเศรษฐพุฒิ กล่าว
นายเศรษฐพุฒิ ยกตัวอย่างว่า กลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า ซึ่งมีมูลค่าเพิ่มคิดเป็น 0.8% ต่อจีดีพีของไทย โดยมีสัดส่วนการผลิตเพื่อส่งออกคิดเป็น 77% แต่ผู้ส่งออกในกลุ่มนี้ 200 ราย หรือคิดเป็น 50% ของบริษัททั้งหมด และ 75% ของมูลค่าส่งออก เป็นบริษัทต่างชาติ โดยมีเอสเอ็มอีที่เกี่ยวข้อง 5,000 ราย และมีการจ้างงานอยู่ที่ 1.4 แสนคน ดังนั้น เมื่อในเซ็กเตอร์นี้ มีบริษัทต่างชาติค่อนข้างมาก ผลกระทบและนโยบายเพื่อรองรับผลกระทบ จึงไม่เหมือนกับในเช็กเตอร์อื่นๆ
“ถ้าท้ายที่สุดแล้ว tariff ของเราหลังเจรจาแล้ว สูงกว่าประเทศอื่นอย่างมีนัยยะ สิ่งที่บริษัทข้ามชาติจะทำ คือ ย้ายฐาน ถ้าเราไม่ต้องการให้ตรงนั้นเกิดขึ้น นโยบายหรือมาตรการที่ออกมา อาจเป็นเรื่องสิทธิประโยชน์ด้านบีโอไอ แต่ถ้าเป็นกลุ่มอาหารแปรรูป ซึ่งมูลค่าเพิ่มใกล้เคียงกับเครื่องใช้ไฟฟ้า โดยอยู่ที่ 0.7% ต่อจีดีพี สัดส่วนการผลิตต่อการส่งออกอยู่ที่ 76% และหน้าตาของบริษัทในกลุ่มนี้เป็นคนละแบบ มีการใช้ local content ในประเทศสูง มีเอสเอ็มอีกว่า 1.2 หมื่นราย
ที่สำคัญเชื่อมโยงกับเกษตรกร เชื่อมโยงกับเศรษฐกิจไทยระดับรากหญ้าค่อนข้างสูง มีการจ้างงานเกือบ 3 แสนคน ซัพพลายเชนยาวมาก เซ็กเตอร์นี้ ไม่เหมือนกับเซ็กเตอร์เครื่องใช้ไฟฟ้า การย้ายฐานก็ไม่ง่าย ปรับตัวก็ไม่ง่าย อำนาจต่อรองก็น้อย นโยบายที่จะควรออกมารองรับกลุ่มนี้ จึงไม่เหมือนกัน คือ อันแรก ต้องมีนโยบายที่ทำให้เขาไม่ย้ายฐาน แต่อีกอัน เป็นเรื่องการรองรับผลกระทบ โดยเฉพาะผลกระทบที่มาจากซัพพลายเชนที่ยาวมาก” นายเศรษฐพุฒิ กล่าว
นายเศรษฐพุฒิ กล่าวว่า ในส่วนนโยบายที่จะออกมาช่วยเหลือกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากสินค้าจากต่างประเทศที่ทะลักเข้ามาในเมืองไทย ซึ่งเป็นกลุ่มที่น่าเป็นห่วงเป็นพิเศษ เช่น กลุ่มสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม ซึ่งมีมูลค่าเพิ่มอยู่ที่ 0.8% ต่อจีดีพี และมีเอสเอ็มอีที่เกี่ยวข้อง 1.2 แสนราย มีการจ้างงาน 4 แสนคน นั้น นโยบายที่ออกมาจะต้องแตกต่างจากกลุ่มอื่นๆ โดยต้องมีมาตรการในเชิงการค้า เช่น มาตรการ Anti-dumping หรือการบังคับใช้มาตรฐานต่างๆ
“สินค้านำเข้าที่ทะลัก นับวันยิ่งเป็นประเด็น โดยตัวเลขส่งออกของจีนไปสหรัฐในเดือน เม.ย. ลดลง 20% แต่ส่งออกของจีนโดยรวมโต 8% แสดงว่า มันจะต้องไปที่ใดซักแห่ง ผมว่ามันเป็นสัญญาณที่ชัดว่า เราต้องใส่ใจให้มาก และนโยบายก็คงไม่ใช่การกระตุ้น แต่เป็นเรื่อง Anti-dumping และมาตรฐานอะไรต่างๆ ซึ่งไม่ใช่แค่สินค้าจากจีน แต่รวมถึงประเทศเพื่อนบ้านที่เจอสถานการณ์เดียวกันจีนด้วย” นายเศรษฐพุฒิ กล่าว
นายเศรษฐพุฒิ ระบุว่า ที่ผ่านมา ธปท. ได้ดำเนินมาตรการเพื่อรับมือกับผลกระทบของสงครามการค้าในหลายเรื่อง โดยดำเนินนโยบายการเงินที่เรียกว่า ‘integrated policy framework’ หรือ การดำเนินนโยบายการเงินที่ควบคู่ไปกับนโยบายอื่นๆ เช่น ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ครั้งล่าสุด กนง.ลดดอกเบี้ยลง 0.25% เพื่อรองรับ Outlook และการชะลอตัวของเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า
“ด้วยความลูกกระสุนมีจำกัด ก็มองว่าจะต้องใช้อย่างระมัดระวัง” นายเศรษฐพุฒิ กล่าวและว่า “การที่ กนง.ตัดสินใจลดดอกเบี้ยลงมา 2 ครั้งติดต่อกัน เรามองว่าพอที่จะรองรับภาพที่เราเห็น พายุที่กำลังมาระดับหนึ่ง แต่ถ้าทุกอย่างลงหนัก แรงกว่าที่คาด คือ Outlook เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยยะ เราพร้อมที่จะปรับ แต่ ณ ตอนนี้ เพียงพอที่จะรองรับการslowdown แล้ว แต่ถ้า Outlook แย่ลงไปอีก เราพร้อมที่จะปรับ”
นายเศรษฐพุฒิ ยังระบุว่า ธปท.ให้ความสำคัญและมีการดูแลตลาดให้ทำงานได้ต่อเนื่อง แต่ต้องยอมรับว่าในช่วงที่ผ่านมามีความผันผวนสูงมากๆ ขณะเดียวกัน มาตรการ Responsible Lending ซึ่งเน้นเรื่องการปรับโครงสร้างหนี้ โดยต้องปรับโครงสร้างหนี้อย่างน้อย 1 ครั้ง ก่อนเป็นหนี้เสีย และหลังจากเป็นหนี้เสียแล้ว ให้ปรับโครงสร้างหนี้อีก 1 ครั้ง เป็นมาตรการที่ทำอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการดำเนินมาตรการเฉพาะเจาะจง อย่าง ‘คุณสู้เราช่วย’ เป็นต้น
นายเศรษฐพุฒิ กล่าวถึงกรณีที่ธนาคารพาณิชย์ไม่ปล่อยสินเชื่อ ว่า 'มีจริง' สะท้อนได้จากการชะลอตัวของสินเชื่อ แต่ก็เป็นไปตามวัฎจักร เพราะเดิมสินเชื่อโตเร็ว โดยเฉพาะในช่วงโควิด และตอนนี้ความเสี่ยงมีเพิ่มขึ้นจริงๆ เห็นได้จากหนี้เสีย และ credit cost ที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะ credit cost ที่เป็นตัวคีย์ จึงเป็นที่มาที่ทำให้แบงก์ไม่ปล่อยสินเชื่อ โดยไม่ได้เกี่ยวกับเกณฑ์ Responsible Lending (RL) และเกณฑ์ RL ก็ไม่ได้กำหนดตัวเลข Debt Service Ratio (DSR) แต่อย่างใด
@กระสุน‘การเงิน-การคลัง’มีจำกัด หนุนรัฐบาลทบทวน‘แจกเงิน’
นายเศรษฐพุฒิ กล่าวถึงกรณีที่รัฐบาลมีแนวคิดจะปรับเพิ่มกรอบเพดานหนี้สาธารณะต่อจีดีพี ว่า ด้วยบริบทที่ประเทศไทยเจออยู่ในขณะนี้ เรื่องเครดิตเรตติ้งเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องใส่ใจ ดังนั้น การจะทำอะไรต่อไป ต้องคำนึงถึงเรื่องพวกนี้ด้วย เพราะในสภาวะที่พายุกำลังมา เรื่องเสถียรภาพเป็นเรื่องสำคัญ หากไทยโดนปรับลดอันดับเครดิตขึ้นมาก็จะมีผลไม่น้อย เนื่องจากต้นทุนการกู้ยืมของภาครัฐจะเพิ่มขึ้นทันที และส่งผลต่อต้นทุนการกู้ยืมของภาคเอกชนด้วย
“การตัดสินใจอะไรต่างๆต้องใส่ใจ โดยเฉพาะในยามนี้ เกี่ยวกับเรื่องเสถียรภาพ ซึ่งหนึ่งในนั้นเป็นเรื่องเสถียรภาพการคลัง ส่วนจะเป็นเท่าไหร่ อย่างไร ผมคิดว่าต้องไปถามกระทรวงการคลังน่าจะเหมาะกว่า และด้วยความลูกกระสุนทั้งฝั่งการเงินและฝั่งการคลังมีจำกัด ยิ่งสะท้อนว่า ต้องใช้ให้ถูกต้องจริงๆ และใช้ให้ได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ซึ่งมาตรการบางอย่างอาจไม่ค่อยเหมาะสมกับสภาวะที่เรากำลังเจออยู่ตอนนี้
ถ้าเราไปเน้นเรื่องการกระตุ้นเรื่องการบริโภคต่างๆ ถามว่าผลระยะยาวเป็นอย่างไร และผลที่จะช่วยตรงนี้มีมากแค่ไหน โดยเฉพาะการปรับตัว ผมคิดว่ามาตรการอย่างนั้น ไม่น่าจะตอบโจทย์ขนาดนั้น อย่างตอนนี้เรากำลังกังวลเรื่องสินค้าที่ทะลักเข้ามาในไทย ถ้าเราไปกระตุ้นการบริโภคตอนที่สินค้าต่างประเทศทะลักเข้ามาในไทย ก็กลายเป็นว่าแทนที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจเรา กลับไปกระตุ้นเศรษฐกิจของเพื่อนบ้านที่เขาส่งของมาไทย” นายเศรษฐพุฒิ กล่าว
นายเศรษฐพุฒิ กล่าวอีกว่า มาตรการหรือที่สิ่งควรจะทำในยามนี้ และไม่ได้ใช้งบประมาณเยอะ คือ regulatory guillotine หรือการทบทวนหรือยกเลิกกฎหมายหรือกฎระเบียบที่บังคับใช้อยู่ในปัจจุบัน ที่ทำให้ต้นทุนการทำธุรกิจสูง และเรื่องดังกล่าวนักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติก็บอกมาโดยตลอดว่า เป็นอุปสรรคต่อการลงทุน ดังนั้น หากเลิกหรือถอนกฎหมายหรือระเบียบที่ไม่จำเป็น ก็จะช่วยการลดต้นทุนการทำธุรกิจ และทำให้การลงทุนกลับมาได้ดีขึ้น
เมื่อถามว่า รัฐบาลมีความจำเป็นต้องเดินหน้าโครงการดิจิทัลวอลเล็ตต่อไปหรือไม่ นายเศรษฐพุฒิ กล่าวว่า ความเห็นของ ธปท. ในเรื่องดิจิทัลวอลเล็ตนั้น คงไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิมที่เคยสื่อสารไปแล้ว ซึ่งการดำเนินโครงการนี้ จะต้องดูเรื่องคุ้มค่า และประสิทธิผลให้ดี ยิ่งในยามนี้ สถานการณ์เปลี่ยนไป มีความท้าทายใหม่ๆเข้ามา โดยเฉพาะมาตรการ tariff ของสหรัฐ บวกกับสินค้านำเข้าที่จะทะลักเข้ามา ก็เป็นสิ่งที่เหมาะสมที่จะทบทวน
“ต้องขอบคุณรัฐบาลที่รับฟังความเห็นของเรากับหน่วยงานอื่นๆ ที่จะมาดูว่าความเหมาะสมของโครงการนี้เป็นอย่างไร” นายเศรษฐพุฒิ กล่าว
อ่านประกอบ :
‘ผู้ว่าฯธปท.’ตั้งรับพายุ‘เทรดวอร์’ชี้‘เสถียรภาพ’มีความจำเป็นสูง-แนะทุกฝ่ายทำงาน‘สามัคคี’
ผู้ว่าฯธปท.ชี้ 3 ปัจจัยเสี่ยงโลก ฉุดส่งออก-‘ดอกเบี้ย’ไม่ลดตามคาด-เดินหน้า Robust Policy
เศรษฐพุฒิ : ศก.'โตต่ำ-ฟื้นช้า'ซ่อนทุกข์ปชช.-'แบงก์'ไม่อยากเป็นตัวร้าย โทษ'ธปท.'คุมสินเชื่อ
‘ผู้ว่าฯธปท.’จี้ลงทุน-รื้อโครงสร้างศก.ดันGDPโตเกิน 3%-ย้ำขยับ‘กรอบเงินเฟ้อ’กระทบเครดิต