เปิดคำสั่ง ‘นายกฯ’ มอบ ‘รมว.คลัง’ ทบทวนการใช้จ่าย ‘งบกลางฯกระตุ้นเศรษฐกิจปี 68-งบปี 69’ รับมือผลกระทบ ‘สงครามการค้า’ มุ่งปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ-ให้ความสำคัญการเติบโต ‘เศรษฐกิจในประเทศ’ มากขึ้น
.......................................
เมื่อวันที่ 15 พ.ค. สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 6 พ.ค.ที่ผ่านมา ที่ประชุม ครม. มีมติเห็นชอบตามที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เสนอ โดยมอบหมายให้นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกฯ และ รมว.คลัง พิจารณาทบทวนการใช้งบประมาณรายจ่ายงบกลางประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 ค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ และการดำเนินแผนแผนงาน/โครงการในปีงบประมาณ พ.ศ.2569 เพื่อรองรับผลกระทบจากสงครามการค้า
“ด้วยในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2568 นายกรัฐมนตรีเสนอว่า สถานการณ์เศรษฐกิจโลกในปัจจุบันอยู่ในภาวะผันผวน อันเนื่องมาจากสงครามการค้าและการประกาศนโยบายการจัดเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ของประเทศมหาอำนาจ ซึ่งส่งผลกระทบถึงประเทศต่างๆ ที่เป็นคู่ค้าด้วย ทำให้ธนาคารโลกและสถาบันต่างๆ ได้คาดการณ์ว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจของโลกและของประเทศไทยจะต่ำกว่าที่ได้เคยคาดการณ์ไว้
โดยสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ Moody's (Moody's Investors Service) ได้ปรับมุมมองความน่าเชื่อถือของประเทศไทยเป็น Negative Outlook และผลของปัจจัยเชิงลบต่างๆ จะส่งผลให้รายได้ของประชาชนในภาพรวมลดลง โดยเฉพาะรายได้จากภาคการส่งออกของประเทศที่ต้องพึ่งพาตลาดต่างประเทศ การจัดเก็บภาษีรายได้ของรัฐจะต่ำกว่าเป้าหมายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
รวมไปถึงแผนงานและโครงการต่างๆ ของรัฐบาลที่ได้วางแผนไว้ จำเป็นต้องพิจารณาทบทวนให้สอดดคล้องกับสถานการณ์ดังกล่าวและรายได้ของรัฐที่ลดลง เช่น การใช้งบประมาณรายจ่ายงบกลางประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 ค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ การดำเนินแผนแผนงาน/โครงการในปีงบประมาณ พ.ศ.2569 รวมทั้งจะต้องเร่งปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางเศรษฐกิจ
โดยให้ความสำคัญกับการสร้างการเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศ (Domestic Economy) ให้มากขึ้น เน้นการลงทุน และสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจฐานรากและผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและทนาดย่อม (Small and Medium Enterprises: SMEs) เพื่อให้ประเทศสามารถรับมือกับความผันผวนของเศรษฐกิจโลกได้อย่างเข้มแข็งต่อไป
อย่างไรก็ตาม ขอเน้นย้ำกับทุกท่านว่า “ท่ามกลางวิกฤตย่อมมีโอกาส” และขอให้เชื่อมันว่า เราจะสามารถฟันฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจในครั้งนี้ไปได้ด้วย “ความสามัคคีของทุกคนในประเทศ”
ดังนั้น จึงขอมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายพิชัย ชุณหวชิร) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง รับเรื่องนี้ไปพิจารณารายละเอียดในคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจให้ชัดเจน แล้วนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีโดยเร็วต่อไป ซึ่งคณะรัฐมนตรีพิจารณาแล้วลงมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอ” หนังสือสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) ด่วนที่สุดที่ นร 0505/11627 แจ้งมติ ครม. เรื่อง การทบทวนแนวทางการดำเนินงานในสภาวการณ์ทางเศรษฐกิจ ลงวันที่ 8 พ.ค.2568 ระบุ
รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับงบประมาณรายจ่ายงบกลางประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 ค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ มีวงเงินทั้งสิ้น 1.87 แสนล้านบาท โดยก่อนหน้านี้รัฐบาลได้จัดสรรงบดังกล่าวไปใช้จ่ายในโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านผู้สูงอายุ จำนวน 3 หมื่นล้านบาท จึงเหลืองบประมาณที่สามารถนำมาใช้จ่ายได้ 1.57 แสนล้านบาท ซึ่งเดิมที่รัฐบาลมีแผนจะนำจำนวนนี้ไปใช้จ่ายในโครงการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ตในเฟสที่ 3 และเฟสที่ 4
ด้าน นายพิชัย ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน เมื่อวันที่ 14 พ.ค.ที่ผ่านมา ว่า ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจที่จะจัดขึ้นในเร็วๆนี้ มีหลายเรื่องที่ต้องทำทวน โดยเฉพาะหลังเกิดเหตุการณ์สหรัฐขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศต่างๆ โดยจะมีการทบทวนมาตรการต่างๆ ว่า เรื่องใดควรทำหรือไม่ และเรื่องไหนควรทำก่อน
เมื่อถามว่า โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต เฟส 3 จะมีการปรับเปลี่ยนอะไรหรือไม่ นายพิชัย กล่าวว่า “ขอทบทวนก่อน” นายพิชัย ระบุด้วยว่า ขณะนี้อยู่ในช่วงงบประมาณปี 2568 หากมีอะไรที่ปรับได้ก็ปรับ ส่วนร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 2569 ที่จะเข้าสู่การพิจารณาสภาผู้แทนราษฎรในวาระที่ 1 นั้น หากสามารถปรับในสภาฯได้ก็ว่ากันไป ส่วนจะต้องใช้งบประมาณเท่าไหร่ จะกู้หรือไม่ หรือจะจ่ายหรือไม่ ตรงนี้ต้องทบทวนกันอีกครั้งหนึ่ง
อ่านประกอบ :
‘แพทองธาร’ แทงกั๊ก ยกเลิก ‘แจกเงินหมื่น’ อ้าง รอฟังความเห็น - ‘ภาษีทรัมป์’
'รัฐบาล'ส่อยกเลิกแจก'เงินหมื่นดิจิทัล' เก็บกระสุน 1.5 แสนล. รับมือผลกระทบ'ภาษีทรัมป์'