
‘ครม.’ รับทราบข้อเสนอแนะ ‘กสม.’ 15 ประเด็น ส่งเสริมการปฏิบัติตาม‘อนุสัญญาต่อต้านการทรมานฯ’ ชงเพิ่มโทษกระทำผิด พ.ร.บ.ป้องกันทรมานฯ เป็นเหตุให้ ‘ผู้ถูกกระทำ’ ถึงแก่ความตาย ติดตามข้อมูล ‘ผู้ถูกกระทำให้สูญหาย’ จนกว่าจะทราบ ‘ที่อยู่-ชะตากรรม’ พร้อมเสนอยกเลิกการบังคับใช้ ‘กม.ความมั่นคง’ ในพื้นที่ที่หมดความจำเป็น
....................................
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 13 พ.ค.ที่ผ่านมา ครม. มีมติรับทราบข้อเสนอแนะตามรายงานคู่ขนานการปฏิบัติตามพันธกรณีของอนุสัญญาต่อต้านการทรมานและการประติบัติหรือการลงโทษอื่นที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี และข้อสังเกตเชิงสรุปของคณะกรรมการต่อต้านการทรมานต่อรายงานประเทศ ฉบับที่ 2 ตามที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เสนอ
ทั้งนี้ ครม.มอบหมายให้กระทรวงยุติธรรม (ยธ.) เป็นหน่วยงานหลักรับเรื่องนี้ ไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ สำนักงานศาลยุติธธรรม สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อเสนอแนะดังกล่าว และนำกลับมาเสนอ ครม.ต่อไป
สำหรับข้อเสนอแนะในรายงานคู่ขนานเพื่อส่งเสริมให้การปฏิบัติตามอนุสัญญาต่อต้านการทรมานฯ ของ กสม. มีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
-ข้อเสนอแนะของ กสม. ที่สอดคล้องกับข้อสังเกตเชิงสรุป
1.การเข้าเป็นภาคีพิธีสารเลือกรับของอนุสัญญาต่อต้านการทรมานฯ (OPCAT) เพื่อจัดตั้งกลไกป้องกันการทรมานระดับชาติ (National Preventive Mechanism: NPM) ทั้งนี้ กสม. มีความพร้อมที่จะทำหน้าที่เป็น NPM ของไทย
2.การกำหนดบทเพิ่มโทษกรณีการกระทำความผิดตามมาตรา 6 แห่ง พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานฯ ที่เป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทำถึงแก่ความตาย รวมทั้งประกันว่าหน่วยงานในพื้นที่ที่มีการบังคับใช้กฎหมายความมั่นคง จะปฏิบัติตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานฯ อย่างเคร่งครัด และจะไม่มีพฤติการณ์พิเศษใดที่จะยกขึ้นมาเป็นข้ออ้างที่มีเหตุผลสำหรับการทรมาน
3.การตรวจสอบและติดตามข้อมูลของผู้ถูกกระทำให้สูญหายจนกว่าจะทราบที่อยู่และชะตากรรม และพัฒนาแนวทางหรือวิธีการสืบสวนสวนกรณีคนไทยที่อาศัยอยู่นอกราชอาณาจักรไทยถูกกระทำระทำทรมานหรือถูกกระทำให้สูญหายให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
4.การลดการใช้โทษทางอาญา โดยเฉพาะโทษจำคุกสำหรับความผิดบางประเภท (decriminalization) การจำแนกผู้ต้องขังระหว่างการพิจารณาคดีออกจากผู้ต้องขังเด็ดขาด
5.การเร่งรัดให้ผู้ต้องกัก โดยเฉพาะกลุ่มชาวอุยกูร์และชาวโรฮีนจา เข้าถึงกลไกคัดกรองระดับชาติ เพื่อให้ได้รับสถานะ “ผู้ได้รับการคุ้มครอง” ในระหว่างพำนักอยู่ในประเทศไทย
6.การพัฒนากลไกการเยียวยาที่มีประสิทธิภาพ โดยบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แก้ไขกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรค และกำหนดรูปแบบการเยียวยาอื่นๆ
7.การเพิ่มกระทรวงสาธารณสุขเป็นองค์ประกอบในคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทรมานฯ เพื่อกำหนดนโยบายและทิศทางการจัดระบบบริการการตรวจ และการให้ความเห็นทางการแพทย์ เพื่อสนับสนุนการตรวจและเยียวยาผู้เสียหายจากการทรมาน
8.การกำหนดแนวปฏิบัติของศาล เพื่อให้มีความชัดเจนว่า จะไม่มีการรับฟังพยานหลักฐานที่ได้จากการทรมานไม่ว่าในกรณีใดๆ
-ข้อเสนอแนะอื่น
1.การเพิ่มประสิทธิภาพการบังคับใช้ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานฯ โดยสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกฎหมายดังกล่าวให้ครอบคลุมหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง
2.การประกันว่าการดำเนินงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่รัฐตามกฎหมายใดๆ เกี่ยวกับการควบคุมตัวบุคคลจะสอดคล้องกับ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานฯ เสมอ และจะไม่มีการผลักดันบุคคลไปยังดินแดนที่อาจได้รับอันตรายตามมาตรา 13 ของ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานฯ
3.การประกันความปลอดภัยของผู้แจ้งเหตุตามมาตรา 29 และประกันว่าผู้ถูกควบคุมตัวมีสิทธิเข้าถึงการตรวจสภาพร่างกายและจิตใจ รวมถึงการให้ความเห็นทางการแพทย์ที่เป็นอิสระ
4.การพัฒนากลไกและรูปแบบการเยียวยาที่ครอบคลุมรูปแบบที่ไม่ใช่ตัวเงิน และพัฒนาระบบการบำบัดรักษา ฟื้นฟูสมรรถภาพทางกายและจิตของผู้ถูกกระทำทรมานหรือถูกกระทำให้สูญหาย
5.การทบทวนกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ที่ให้อำนาจเจ้าหน้าที่รัฐในการดูแลบุคคคลเป็นการชั่วคราว และในการควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยเพื่อสืบสวนสอบสวนขยายผล ซึ่งมีขั้นตอนที่แตกต่างจากประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และขาดการตรวจสอบการใช้ดุลพินิจโดยศาลหรือองค์กรอื่น ทำให้เสี่ยงต่อการกระทำทรมานในห้วงระยะเวลาดังกล่าว
6.การยกเลิกการบังคับใช้กฎหมายความมั่นคงในพื้นที่ที่หมดความจำเป็น โดยพิจารณาสถานการณ์ความรุนแรงในพื้นที่ ตลอดจนความพร้อมของหน่วยงานและประชาชนในพื้นที่
7.การประกันว่าศูนย์ฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดของทั้งภาครัฐและเอกชน จะให้บริการที่มีมาตรฐานและไม่มีการกระทำที่เข้าข้าข่ายการทรมาน และการปฏิบัติหรือการลงโทษอื่นที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา