เริ่มแล้ว อภิปรายงบประมาณ 69 ‘แพทองธาร’ เผย 3.78 ล้านล้านบาทใช้ฟื้นฟูและขับเคลื่อนเศรษฐกิจ กู้เกินดุลทะลุ 860,000 ล้านบาท ยันเกิดผลสัมฤทธิ์ในการพัฒนาประเทศอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป ด้าน ‘เท้ง-ณัฐพงษ์’ อภิปรายดุ เปิด 7 แผลงบประมาณปี 69 สะท้อนรัฐบาลไร้ศักยภาพในการบริหารงบ เอาแต่บริหารอำนาจการเมือง
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า วันที 28 พฤษภาคม 2568 ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร (สส.) สมัยวิสามัญเป็นพิเศษ เมื่อเวลา 16.00 น. ได้เข้าสู่การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2569 ซึ่งคณะรัฐมนตรี (ครม.) เป็นผู้เสนอ
@แพทองธาร: งบ 69 ฟื้นฟู-ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีแถลงถึงหลักการและเหตุผลว่า งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2569 เป็นจำนวนเงินไม่เกิน 3,780,600 ล้านบาท ชดใช้เงินคงคลัง 123,541 ล้านบาท มีเหตุผลเพื่อให้หน่วยรับประมาณมีกรอบวงเงินงบประมาณสำหรับใช้จ่ายในปีงบประมาณ 2569 โดยร่างฉบับนี้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างมีเสถียรภาพ ต่อยอดการพัฒนาภาคการผลิต ภาคการบริการ พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ สร้างโอกาสทางเศรษฐกิจและความเสมอภาคทางสังคม ดูแลคุณภาพชีวิต สิ่งแวดล้อม และความมั่นคงของประชาชนผ่านการดำเนินงานตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ แผนแม่บทต่างๆ และนโยบายที่รัฐบาลแถลงต่อรัฐสภา
นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อว่า จากการประเมินของสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เมื่อ 17 ก.พ. 2568 คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจของประเทศจะขยายตัวที่ 2.3-3.3% เกิดจากแรงสนับสนุนของการขยายตัวในการลงทุนภาครัฐ การบริโภคในประเทศ และการฟื้นตัวของการท่องเที่ยว แต่ยังมีข้อจำกัดด้านภาระหนี้สินครัวเรือนและภาคธุรกิจที่อยู่ในระดับสูง รวมถึงปัจจัยด้านการกีดกันทางการค้าของประเทศสหรัฐอเมริกา ส่วนอัตราเงินเฟ้อคาดว่าจะอยู่ 0.5-1.5% และมีดุลบัญชีเดินสะพัดต่อ GDP ที่ 2.5% ส่วนในปี 2569 คาดการณ์ว่า จะมีอัตราเติบโตในช่วง 2.3-3.3% จากปัจจัยสนับสนุนในการขยายของการอุปโภค บริโภค และจากการลงทุนของภาคเอกชน รวมถึงการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว ส่วนปัจจัยเสี่ยงประกอบด้วย มาตรการกีดกันทางการค้าของประเทศเศรษฐกิจหลัก, ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์, ความเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ
ขณะที่ฐานะทางการคลังของประเทศ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ณ เดือนมี.ค. 2568 ไทยมีหนี้สาธารณะอยู่ที่ 12,080,809.9 ล้านบาท คิดเป็น 64.4% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมประเทศ (GDP) ซึ่งยังอยู่ภายใต้กรอบบริหารหนี้สาธารณะตามพ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ 2561 ที่กำหนดไว้ไม่เกิน 70% ของ GDP ส่วนสถานะเงินคงคลัง ณ วันที่ 30 เม.ย. 2568 มีจำนวน 252,124.8 ล้านบาท
นางสาวแพทองธาร กล่าวต่อว่า ปีงบประมาณ 2569 รัฐบาลจำเป็นต้องทำงบประมาณขาดดุล เพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ รวมถึงสนับสนุนการฟื้นตัวและส่งเสริมอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจให้เหมาะสม โดยประมาณการรายได้สุทธิที่รัฐบาลจัดเก็บได้อยู่ที่ 2,920,600 ล้านบาท และกำหนดวงเงินกู้ชดเชยการขาดดุลงบประมาณที่ 860,000 ล้านบาท รวมเป็นรายรับ 3,780,600 ล้านบาท โดยสาระสำคัญของประมาณปี 2569 เป้นรายจ่ายประจำที่ 2,652,301.3 ล้านบาท คิดเป็น 70.2% ของงบประมาณ, รายจ่ายเพื่อชดใช้เงินคงคลัง 123,541.1 ล้านบาท คิดเป็น 3.3% ของงบประมาณ, รายจ่ายลงทุน 864,077.2 ล้านบาท คิดเป็น 22.9% ของงบประมาณ และรายจ่ายชำระคืนต้นเงินกู้ 151,200 ล้านบาท คิดเป็น 4% ของงบประมาณ
โดยงบประมาณปี 2569 สามารถจำแนกตามยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณ ประกอบด้วย 6 ยุทธศาสตร์ และรายการค่าดำเนินการภาครัฐ สรุปได้ ดังนี้ 1) ด้านความมั่นคง 415,327.9413 ล้านบาท 2) ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน 394,611.6456 ล้านบาท 3) ด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ 605,927.2575 ล้านบาท 4) ด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม 942,709.1735 ล้านบาท 5) ด้านการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม 147,216.8998 ล้านบาท และ 6) ด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ 605,441.5957 ล้านบาท
“ร่างงบประมาณปี 2569 ที่รัฐบาลเสนอ มีเป้าหมายเพื่อฟื้นฟูและขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืนพร้อมทั้งยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในทุกมิติ ภายใต้ข้อจำกัดด้านรายได้และสถานการณ์เศรษฐกิจโลกรัฐบาลจึงดำเนินนโยบายงบประมาณแบบขาดทุนเพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจโดยกำหนดวงเงินงบประมาณทั้งสิ้น 3,780,600 ล้านบาท เพื่อให้หน่วยรับงบประมาณนำไปใช้จ่ายตามที่ได้รับจัดสรรอย่างมีประสิทธิภาพและมีประสิทธิผล เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชนทั้งในด้านความมั่นคง การสร้างความสามารถในการแข่งขัน การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม การดูแลทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตลอดจนการปรับปรุงระบบราชการให้มีประสิทธิภาพเพื่อให้ประเทศสามารถเดินหน้าได้อย่างมั่นคงประชาชนได้รับประโยชน์จากการใช้จ่ายงบประมาณอย่างแท้จริง และเกิดผลสัมฤทธิ์ในการพัฒนาประเทศอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป” นายกรัฐมนตรีกล่าวจบ
@ณัฐพงษ์: แผลใหญ่งบประมาณ 69
ด้านนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.และหัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร กล่าวอภิปรายว่า คำแถลงของนายกรัฐมนตรีใช้ตัวเลขประมาณการ GDP ของสภาพัฒน์ที่เติบโต 2.3-3.3% ซึ่งเป็นตัวเลขเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2568 แต่ถ้านายกรัฐมนตรีใช้ตัวเลขที่สภาพัฒน์ปรับปรุงใหม่ในเดือน พ.ค.นี้ ซึ่งมีค่ากลางอยู่ที่ 1.8% จะกระทบต่อประมาณการจัดเก็บรายได้ของรัฐและกระทบต่อโครงสร้างงบประมาณทั้งหมด อย่างไรก็ตามสิ่งที่คาดหวังอยากให้นายกรัฐมนตรีลงมือปรับคือการปรับคำแถลงนโยบายฉบับนี้ด้วยมือของตัวเอง ไม่ใช่คำแถลงนโยบายที่เป็นเหมือนเดิมมาตลอด 6-7 ปี ซึ่งมีสำนักงบประมาณเขียนมาให้ ถามว่าความจำเป็นอะไรถึงต้องให้นายกรัฐมนตรีเป็นผู้ปรับ เพราะกำลังสงสัยว่า เพราะนายกฯ ไม่ปรับ งบเลยไม่เปลี่ยน คนไทยจึงต้องรับกรรม
@ไร้แผน ไร้ทาง ไร้ภาพ
นายณัฐพงษ์กล่าวต่อว่า เหตุผลแรก ภาพรวมงบประมาณปี 69 เป็นปีที่ 2 ติดต่อกันที่พรรคเพื่อไทยตั้งงบประมาณขาดดุลสูงเกือบชนเพดาน กรอบงบประมาณที่ 3.78 ล้านล้านบาท โดยมีการประมาณการรายได้ของรัฐไว้เพียง 2.92 ล้านล้านบาท ต้องกู้เงินมาชดเชยการขาดทุนอีก 860,000 ล้านบาท ซึ่งในปี 2568 พรรคเพื่อไทยทำสถิติกู้เพื่อชดเชยการขาดทุนเป็นสัดส่วนต่อ GDP สูงที่สุดในรอบ 36 ปีนับตั้งแต่ปี 2532 สิ่งที่น่ากังวลในตอนนี้ไม่ใช่เรื่องการกู้ แต่เป็นเรื่องที่รัฐบาลใช้เงินเกินตัวโดยที่ไม่มีแผนลงทุนและแผนการหารายได้มารองรับ มีแต่การพูดซ้ำๆเพื่อไปลงกับโครงการเดิมๆ ไม่ได้สร้างรายได้ไม่ได้สร้างอนาคตให้กับประเทศ
ผู้นำฝ่ายค้านกล่าวต่อว่า แม้จะเป็นปีที่รัฐบาลเบ่งงบประมาณสูงที่สุด แต่ก็เหลือเงินที่ใช้ได้จริงเพียงเล็กน้อย เพราะรายจ่ายบุคลากรเพิ่มขึ้น งบชำระหนี้เพิ่มขึ้น งบผูกพันยังมีภาระต่อเนื่อง ยังไม่รวมเงินที่ต้องเอาไปอุดหนุนท้องถิ่น เงินที่ต้องเอาไปชดใช้เงินคงคลัง และอื่นๆสุดท้ายก็เหลือเพียงแค่หนึ่งในสี่ของงบประมาณทั้งก้อนหรือราวๆ 1.06 ล้านล้านบาทเท่านั้น เมื่อมีพื้นที่การคลังให้กู้ไม่มาก และมีเนื้อที่ด้านงบประมาณให้กับโครงการใหม่ๆน้อย ประชาชนจึงต้องการรัฐบาลที่รู้จักการใช้อำนาจ ไม่ใช่รัฐบาลที่เป็นแหล่งรวมของผู้แสวงหาอำนาจที่มารวมตัวกัน เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ เพื่อให้ตัวเองดำรงอยู่ในอำนาจได้ต่อไป
“งบประมาณปี 69 เป็นกระจกสะท้อนชั้นดีไปยังรัฐบาลชุดนี้ ว่าเป็นรัฐบาลไร้ทิศไร้ทางไร้ภาพ ไม่ได้จัดงบเพื่อหาทางออกให้กับประเทศจะปล่อยให้การบริหารราชการแผ่นดินเดินไปอย่างสะเปะสะปะอยู่ในระบบราชการประจำเพราะใช้เวลาไปกับการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งภายในพรรคร่วมรัฐบาล ไม่ได้เอาสมาธิไปจดจ่อกับการแก้ไขปัญหาประเทศหรือการนำประเทศผ่านพ้นวิกฤต” นายณัฐพงษ์กล่าว
นายณัฐพงษ์กล่าวต่อว่า สิ่งที่ตอกย้ำคือการที่รัฐบาลเอางบกลาง 157,000 ล้านบาทไปใช้ในการลงทุนระยะสั้นจากเดิมที่จะเอาไปใช้ในโครงการดิจิทัลวอลเลต เป็นการโยนเงินให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 7,850 แห่งส่งคำของบประมาณเข้ามาภายในเวลา 3 วัน วิธีการแบบนี้แสดงให้เห็นว่านโยบายของรัฐบาลไม่มีแผน ไม่มีวิสัยทัศน์ ไม่มีเป้าหมายร่วมกับประเทศ เป็นการกระจายภาระให้ท้องถิ่นคิดแทนรัฐบาล หรือไม่ก็อาจจะเป็นการกระจายผลประโยชน์ให้กับกลุ่มเครือข่ายที่ใกล้ชิดกับรัฐบาลที่รู้ข่าวล่วงหน้า
@ปัญหาโลกกระแทกไทย
ผู้นำฝ่านค้านอภิปรายต่อไปว่า ส่วนที่ 2 ท่ามกลางปัจจัยโลกที่เปลี่ยนไป การใช้งบประมาณสูตรเดิมๆที่ล้มเหลวมาหลายปี ประเทศไทยกำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ การจัดงบประมาณแบบพอให้ผ่านๆไปทำไม่ได้แล้ว เพราะความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศ ส่งผลกระทบกับประเทศไทยอาจจะสูญเสีย GDP ได้ถึง 45% โดยภาคส่วนที่จะได้รับผลกระทบคือภาคการท่องเที่ยวและภาคการเกษตร อุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นเพียง 3.2 องศาเซลเซียสส่งผลกระทบต่อภาคการเกษตรที่ผลผลิตอาจได้รับความเสียหายถึง 84,000 ล้านบาทต่อปี ในส่วนสงครามการค้าที่รุนแรงโดยเฉพาะการกำหนดกำแพงภาษีโดยประธานาธิบดีโดนัลด์ทรัมป์ จะกระทบการส่งออกสินค้าของประเทศไทยและซ้ำเติมปัญหานำเข้าสินค้าราคาถูก และการสวมสิทธิ์จากต่างประเทศ สะท้อนว่า ตั้งแต่ปี 2565 อัตราการบริโภคและ GDP ภาคการผลิตเติบโตสวนทางกัน โดยการบริโภคนั้นมีอัตราเติบโตสูงขึ้นแต่ GDP ภาคการผลิตมีอัตราเติบโตต่ำลง แปลว่าเงินที่รัฐบาลแจกในโครงการดิจิทัลวอลเลตไหลออกไปทางอื่น ไม่ตกถึงมือผู้ผลิตในประเทศ ซ้ำเติมด้วยปัญหาสินค้านำเข้าและสินค้าเถื่อนราคาถูก และการส่งออกก็มีปัญหากำลังทรุดหนักจากสงครามการค้าที่เกิดขึ้น โดยผู้ส่งออกสินค้าไปสหรัฐอเมริกา 6,300 ราย มีผู้ประกอบการ SMEs ประมาณ 5,000 ราย ที่กำลังจะตายจากความล่าช้าในการแก้ปัญหาของรัฐบาล สุดท้ายเศรษฐกิจโลกก็เปราะบาง ซึ่ง IMF เพิ่งปรับอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจโลกลงต่ำกว่า 3% สะท้อนว่า เศรษฐกิจโลกกำลังชะลอตัวและจะกระทบกับการท่องเที่ยวของประเทศไทยด้วยอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นรายได้ที่จะกระจายตัวไปยังอุตสาหกรรมต่างๆในประเทศรวมถึงค่าใช้จ่ายต่อหัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติเริ่มมีแนวโน้มปรับตัวลดลง ยังไม่นับรวมวิกฤตด้านภูมิรัฐศาสตร์อื่น เช่น ปัญหาสงครามรัสเซียยูเครน, สงครามอิสราเอลฮามาส, สงครามระหว่างอินเดียและปากีสถาน วิกฤตรอบๆโลกนี้กำลังปะทะกับโครงสร้างที่อ่อนแอของประเทศไทย
“เศรษฐกิจไทยที่พึ่งพาการส่งออก การท่องเที่ยว และการเกษตร กำลังถูกกดดันพร้อมกันในทุกๆด้านสัดส่วนรายได้รัฐต่อ GDP มีแนวโน้มลดลงโดยตลอด ความสามารถในการชำระหนี้ของรัฐบาลถูกตั้งคำถาม มุมมองต่ออนาคตของประเทศไทยถูกปรับลดลงไปในทางลบ ประเทศไทยกำลังเผชิญปัญหาด้านการคลังอย่างรุนแรงในอนาคตหากรัฐบาลยังลงทุนไม่ถูกจุด ไม่มีเป้าหมายในการใช้จ่ายงบประมาณอย่างชัดเจน แล้วพวกเราจะฝากความหวังไว้กับร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ได้อย่างไร” นายณัฐพงษ์กล่าว
@5 ข้อดี ถ้ามีรัฐบาลปฏิรูปโครงสร้างงบประมาณ
นายณัฐพงษ์กล่าวต่อไปว่า 2 ปีที่ผ่านมา ถ้ารัฐบาลให้ความสำคัญในการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างเช่นการปฏิรูประบบงบประมาณเพื่อเชื่อมั่นได้ว่าจะสร้างความเปลี่ยนแปลงได้ 5 ประการดังนี้
1.จะได้เห็นการจัดทำงบประมาณอย่างสมดุล ไม่รัดเข็มขัดมากไปและไม่สุรุ่ยสุร่ายจนเกินตัว ไม่ใช่การขยายกรอบหนี้สาธารณะไปเรื่อยๆ ทำลายศักยภาพของประเทศลงอย่างสิ้นเชิง
2.เห็นการลงทุนในเครื่องจักรเศรษฐกิจใหม่ พร้อมๆไปกับการฟื้นฟูเครื่องจักรเศรษฐกิจเดิม เช่น การลงทุนในอุตสาหกรรมไฮเทค พร้อมไปกับการฟื้นฟูแหล่งท่องเที่ยวและการพัฒนาภาคการเกษตร ตลอดจนการยกระดับ SME ให้แข่งกับต่างประเทศได้ ไม่ใช่การจัดสรรงบประมาณแบบสะเปะสะปะ
3. จะได้งบประมาณที่ดูแลคุณภาพชีวิต สิ่งแวดล้อม การศึกษา และสวัสดิการที่ทั่วถึงและเพียงพอ
4. จะได้เห็นงบประมาณที่โปร่งใสเห็นทั้งเงินในและเงินนอกงบประมาณที่แฝงตัวอยู่ในธุรกิจกองทัพ รัฐวิสาหกิจและรัฐพาณิชย์ต่างๆ เปิดเผยตรวจสอบและรวบยอด มองเห็นข้อมูลทั้งฝั่งรายได้รายจ่ายและภาระทางการคลังที่ไม่ได้ถูกนับรวมอยู่ในหนี้สาธารณะ
5. จะได้เห็นงบประมาณที่ท้องถิ่นมีสัดส่วนรายได้ต่อรัฐส่วนกลางมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น ผ่านการเร่งรัดการถ่ายโอนภารกิจที่งานไปพร้อมกับเงินและเงินไปพร้อมกับคน ส่งเสริมให้ท้องผิดเป็นกลไกหลักในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนและเป็นกลไกเสริมในการพัฒนาเศรษฐกิจร่วมกับรัฐบาล
@มองให้ลึกถึงเงินแผ่นดิน อย่ามองแต่เงินงบประมาณ
นายณัฐพงษ์ กล่าวต่อไปว่า ประเทศไทยไม่ได้ขาดเงิน หากจะฝ่าฟันวิกฤตไปได้จะต้องมาทบทวนกันว่าประเทศไทยมีทรัพยากรอยู่จริงๆเท่าไหร่ เพราะงบประมาณ 3.78 ล้านล้านบาทเป็นเพียงงบประมาณก้อนเดียว รัฐบาลจะต้องบริหารเงินแผ่นดินให้เป็น โดยเงินแผ่นดินเป็นเงินที่ซุกซ่อนอยู่ตามหน่วยงานต่างๆ ซึ่งยังมีเงินที่อยู่ในรัฐวิสาหกิจต่างๆ ดูในปี 2567 รัฐวิสาหกิจมีรายจ่ายรวม 4 ล้านล้านบาท หากตัดส่วนที่ซ้ำซ้อนกับงบประมาณรายจ่ายประจำปี จะมีเงินงอกมาให้ใช้ถึง 3.86 ล้านล้านบาท อีกก้อนหนึ่งคืองบประมาณรายจ่ายท้องถิ่นทั่วประเทศ มีตัวเลขรวมในปี 2567 ที่ 750,000 ล้านบาท และส่วนสุดท้ายเงินที่ไปอยู่ในบริษัทพัฒนาเมืองรวมถึงธุรกิจเพื่อสังคมที่ร่วมลงทุนกับรัฐบาลในการพัฒนาเมือง เมื่อรวมๆตัวเลขทั้งหมด รัฐบาลจะมีทรัพยากรในมือถึง 7-8 ล้านล้านบาทต่อปี
แต่ปัญหาที่ผ่านมาไม่มีใครไปเชื่อมโยงเม็ดเงินให้เข้าหากัน ทุกหน่วยงานรัฐวิสาหกิจทุกท้องถิ่นต่างคนต่างใช้งบประมาณไปตามหน้าที่ ไม่มีการเชื่อมโยงเป้าหมายกับประเทศ บริษัทพัฒนาเมืองที่อยากจะพัฒนาบ้านเกิดตัวเองก็ทำไม่ได้เพราะกฎระเบียบไม่ให้ทำ
@บริหารเงินไม่เป็น
นายณัฐพงษ์กล่าวต่อว่า เมื่อมองเห็นแล้วว่ามีเงินกว่า 7-8 ล้านล้านบาทแล้ว รัฐบาลก็ต้องรู้จักการใช้เงิน เพราะเงิน 1 บาทจากรัฐสามารถกลายเป็นเงินหลายๆบาทในระบบเศรษฐกิจได้ เพราะในงบประมาณปี 2569 งบประมาณด้านการจัดการน้ำก็ทุ่มไปกับการทำตลิ่งเขื่อนคลองมากกว่าการเพิ่มพื้นที่รับน้ำและพัฒนาระบบเตือนภัย งบการเกษตรเน้นการเยียวยาไม่มีการลงทุนเพื่อลดต้นทุนและพัฒนาเกษตรสมัยใหม่ ขณะที่งบซอฟท์พาวเวอร์ ก็กลายเป็นงบจัดอีเว้นท์ซ้ำซ้อน ไม่ตอบโจทย์อุตสาหกรรมสร้างสรรค์ ด้านงบสิ่งแวดล้อมก็มีแค่ 4% ต่ำสุดในบรรดา 6 ยุทธศาสตร์ของรัฐบาลแถมเน้นไปที่การสร้างซ่อมมากกว่าแก้ปัญหาเชิงระบบ และสุดท้ายงบสวัสดิการคนพิการที่ยังคงตกหล่นกระจัดกระจายซ้ำซ้อนขาดการเข้าถึงอุปกรณ์พื้นฐาน นี่คือสิ่งที่ต้องช่วยกันเปลี่ยน
“นายกรัฐมนตรีไม่เคยลงมือปรับ ไม่เคยลงมาดูว่าเป้าหมายที่ตัวเองประกาศไว้ได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานที่ตั้งงบจริงหรือไม่ ไม่เคยสั่งให้หน่วยงานที่ตั้งเป้าหมายเวอร์เกินจริงก็มาปรับทบทวนเป้าหมายให้ถูกต้อง และที่สำคัญไม่เคยตัดโครงการที่ซ้ำซ้อนทับซ้อนและไร้ผลเชิงยุทธศาสตร์ เพราะถ้าท่านทำ เราจะไม่เห็นงบซอฟต์พาวเวอร์ที่เน้นการจัดอีเว้นท์พีอาร์ นโยบาย One Family One Soft Power (OFOS) ที่หวังจะให้เกิดการอบรมแรงงาน 5 ล้านคนแต่ทำได้จริงแค่หลักหมื่น งบสตาร์ทอัพหมดไปกับการสร้างตึก ไม่ได้พัฒนาอะไร งบ SMEs หมดไปกับการอบรมแทนที่จะช่วยเหลือให้เข้าถึงตลาดและแหล่งเงินทุนที่ดียิ่งขึ้น ผมขอเตือนท่านนายกรัฐมนตรีว่า วันนี้ไม่ใช่การบริหารงบประมาณผิดพลาด แต่จะเป็นกระจกสะท้อนไปยังตัวท่านว่า ท่านไม่มีเป้าหมายบริหารประเทศ ซึ่งท่านได้ละเลยต่อการทำหน้าที่ผู้นำรัฐบาลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ” ผู้นำฝ่ายค้านกล่าว
@ก้าวไปสู่ รัฐล้มเหลว
นายณัฐพงษ์กล่าวว่า ในขณะที่รัฐบาลสาละวนในการแก้ไขปัญหาสมการทางการเมืองมากกว่าแก้ไขปัญหาประเทศ คนไทยกำลังเผชิญวิกฤตแบบเต็มตัว โดยส่วนสุดท้ายที่อยากจะพูดถึงก็คือ ผู้ประกอบการการท่องเที่ยวโรงแรมที่เคยเป็นเครื่องยนต์หลักของประเทศ ตอนนี้รายได้ถดถอยสูญเสียขีดความสามารถในการแข่งขันแพ้เพื่อนบ้านหมด โดย 4 เดือนแรกในปี 2568 มีการจดเลิกกิจการจำนวน 4,000 ราย เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 300 ราย โดยธุรกิจที่ยกเลิกกิจการสูงสุด 3 อันดับแรกคือการก่อสร้าง อสังหาริมทรัพย์ และร้านอาหาร ทั้งหมดนี้กระทบต่อรายได้ของรัฐตลอดจนถึง GDP ในอนาคตและขีดความสามารถในการชำระหนี้ของรัฐบาลในอนาคต และไม่ใช่เพราะประเทศเราไม่มีเงินแต่เป็นเพราะประเทศเราไม่มีผู้นำที่รู้จักใช้อำนาจในการเปลี่ยนงบประมาณที่ล้มเหลว เพื่อไม่ให้ประเทศล้มเหลวไปด้วย
ผู้นำฝ่ายค้านกล่าวต่อว่า สถานการณ์ในขณะนี้ไม่ใช่วิกฤตทางการคลังแต่คือวิกฤตทางการเป็นวิกฤตของสถาบันรัฐไทยที่เริ่มเป็นลักษณะขูดรีด โดยในหนังสือ Why Nations Fall? ระบุชัดเจนว่าประเทศที่ล้มเหลวไม่ได้ล้มเหลวจากการขาดเงิน แต่ล้มเหลวเพราะชนชั้นนำจงใจรักษาระบบที่ตัวเองได้ผลประโยชน์ไว้ไม่เคยปรับเปลี่ยนเพื่ออนาคตของคนส่วนใหญ่และประชาชนในประเทศ ประเทศไทยเดินทางมาไกลมาก เดินทางมาดิ่งไกลมาก เพียงแค่ 1 ชั่วอายุคนจากเดิมที่เราเกือบเป็นเสือตัวที่ 5 ตอนนี้กำลังจะเป็นรัฐล้มเหลว ถ้าหากทำงบประมาณแบบเดิมที่ไม่เปลี่ยน นายกรัฐมนตรียังทำงานแบบเดิมที่ไม่ปรับ ต่อไปจะไม่ใช่แค่เกือบ แต่ประเทศไทยจะกลับขึ้นมาไม่ได้อีก วันนี้แม้โครงสร้างต่างๆยังไม่พัง แต่ความเชื่อมั่นของประชาชนพังไปแล้ว เมื่อโครงสร้างไม่เปลี่ยนคนในอำนาจไม่ปรับ สุดท้ายคนที่รับกรรมคือคนไทยทั้งประเทศ