
2 สส.ประชาชนอภิปรายถล่มงบกระทรวงคมนาคม ‘สุรเชษฐ์’ ตั้งคำถามงบสร้างที่ทำการใหม่ย่านบางซื่อ 3,832 ล้านอู้ฟู่เกินเหตุ มีห้องประชุม สิ่งอำนวยความสะดวกเกินจำเป็น ขณะที่ ‘วิโรจน์’ อัดลงไปที่ 2 กรมถนน ‘กรมทางหลวง-กรมทางหลวงชนบท’ กรณีค้านแก้การเลื่อนชั้นรับเหมา เกิดช่องโหว่รับเงินทอนสร้างทางจาก 79 ผู้รับเหมาชั้นพิเศษหรือไม่
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า วันที่ 29 พฤษภาคม 2568 ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร (สส.) สมัยวิสามัญเป็นพิเศษ เพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2569 ซึ่งคณะรัฐมนตรี (ครม.) เป็นผู้เสนอในวันที่ 2
นายสุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) พรรคประชาชน อภิปรายถึงงบประมาณในสัดส่วนของกระทรวงคมนาคมว่า ในปีงบประมาณ 2569 กระทรวงคมนาคม นับเฉพาะหน่วยงานราชการ ได้รับการจัดสรรงบประมาณที่ 200,756 ล้านบาท โดยมีกรมทางหลวงได้รับการจัดสรรงบประมาณสูงที่สุด 131,932 ล้านบาท รองลงมาคือกรมทางหลวงชนบท ได้รับการจัดสรรงบประมาณที่ 53,599 ล้านบาท ซึ่งกระทรวงคมนาคมเป็นหน่วยงานที่ ได้รับงบลงทุนก้อนใหญ่ที่สุดและผูกพันงบประมาณมากที่สุดในบริบทของประเทศไทย ซึ่งงบลงทุนส่วนใหญ่ของกระทรวงถูกนำไปใช้กับการซ่อมสร้างถนน โดยกรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบท ซึ่งที่ผ่านมามีปัญหาการซ่อมสร้างถนนที่ไม่ควรทำ แต่ไม่ทำในส่วนชองถนนที่ผุพังจริงๆ
อีกประเด็นที่น่าสนใจคือ ปีนี้ สำนักปลัดกระทรวงคมนาคม ขอรับงบประมาณที่ 1,124 ล้านบาท เพิ่มเป็นเท่าตัวจากปีก่อนๆที่รับงบประมาณเฉลี่ย 600 ล้านบาท โดยส่วนต่างที่เพิ่มขึ้นมาจากค่าก่อสร้างอาคารที่ทำการกระทรวงคมนาคมแห่งใหม่ แถวบางซื่อ โดยในปี 2569 ของงบประมาณไปที่ 574.8 ล้านบาท โดยผูกพันงบประมาณ ในปี 2570 และ 2571 ที่ 1,628.6 ล้านบาท รวม 3 ปี งบประมาณทั้งหมดอยู่ที่ 3,832 ล้านบาท ซึ่งมีมูลค่ามากกว่าตึกของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) อีก ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 2,500 ล้านบาท โดยอาคารใหม่ของกระทรวงคมนาคมจะมีพื้นที่ประมาณ 18.75 ไร่ อยู่ในทำเลทองย่านบางซื่อของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) 1,471 ไร่ ซึ่งน่าจะเอาพื้นที่ไปใช้ประโยชน์ได้มากกว่านี้
นายสุรเชษฐ์กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตาม กระทรวงคมนาคมยังไม่ได้บอกชัดว่าจะมีหน่วยงานไหนไปอยู่บ้าง เพราะตอนนี้มีแค่สำนักปลัดกระทรวงคมนาคมที่มีอัตรากำลังข้าราชการ 319 คนเท่านั้นที่จะไปอยู่ และมีการบอกคร่าวๆว่า อาจมีหน่วยงานใหม่เข้าไปอยู่ด้วย เช่น กรมการขนส่งทางราง (ขร.), บจ.เอสอาร์ที แอสเสท (SRTA), สถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง (องค์การมหาชน) เป็นต้น ซึ่งรัฐมนตรีต้องตอบให้ชัดว่าใครจะมาอยู่บ้าง เพราะรวมๆแล้วมีอัตรากำลังข้าราชการที่จะมาอยู่ประมาณ 1,000 คน รัฐมนตรีต้องแสดงความจำนงจริงๆว่า จะมีใครมาอยู่บ้าง ไม่ใช่สร้างตึกให้ใหญ่โตแล้วค่อยหาหน่วยงานเข้าไปอยู่
“ ผมให้งบไม่ได้เพราะยังตอบไม่ได้ว่าทำไมตึกใหม่ของกระทรวงคมนาคม ถึงได้งบต่อหัวสูงกว่าตึกสตง.มาก แถมผู้ที่จะเข้ามาอาศัยอยู่ก็มีแค่ 1,000 คนต่างจากตึกของสตง.ที่แจ้งว่ามีพนักงานเข้ามาทำงาน 2,400 คน แล้วกระทรวงคมนาคมจะเอาพื้นที่ไปทำอะไร 130,523 ตารางเมตร หรือคิดเป็น 131 ตารางเมตร ต่อข้าราชการ 1 คน อีกทั้งห้องของรัฐมนตรีก็ใหญ่มาก 65 ตารางเมตร แล้วอยู่ติดกับลานจอดเฮลิคอปเตอร์ข้างบนด้วย จึงอยากขอให้รัฐมนตรีชี้แจงรายละเอียดด้วย” นายสุรเชษฐ์กล่าวว่า
นอกจากนี้ นายสุรเชษฐ์ยังตั้งข้อสังเกตอีกว่า ในแผนงานมีการก่อสร้างล็อบบี้ขนาดใหญ่ มีห้องออดิทอเรียมขนาด 300 ที่นั่ง แล้วมีสโลปเป็นชั้นบันไดคล้ายโรงภาพยนตร์ และมีจอแอลอีดีขนาดใหญ่ ระบบแสงสีเสียงครบครัน โดยมีพื้นที่ 631 ตารางเมตร นอกจากนั้น ยังมี ห้อง conventional Hall ชั้น 8 500 ที่นั่ง มีขนาด 1,000 ตารางเมตร อีกทั้งยังมีห้อง Meeting Room ที่ชั้น 7 ขนาด 424 ตารางเมตร และมีเวทีขนาด 31.5 ตารางเมตร มีจอ LED และระบบแสงสีเสียงจัดเต็ม โดยมีการระบุถึงการจัดซื้อโคมไฟในราคา 1 ล้านบาทด้วย ซึ่งในแบบใบแสดงรายการวัสดุและค่าใช้จ่ายในการก่อสร้าง (BOQ) มีหลายรายการที่มีราคาเกินจริงไปมาก
นายสุรเชษฐ์กล่าวในช่วงท้ายว่า อยากฝากเพื่อสมาชิกที่จะเข้าไปเป็นกรรมาธิการฯ ช่วยกันตัดงบประมาณในการก่อสร้างอาคารใหม่ออก ให้ไปออกแบบใหม่ให้ใช้งานอย่างเหมาะสม ไม่ต้องโอ่อ่าอลังการ ต้องเกรงใจประชาชนบ้าง

@เปิดประเด็น ฮั้วรับงานสร้างทาง ‘กรมทางหลวง-ทางหลวงชนบท’
ขณะที่นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรรคประชาชน อภิปรายงบประมาณของกรมทางหลวง และกรมทางหลวงชนบท ว่า ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2560 ถึง 2566 กรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบท มีโครงการก่อสร้างทางที่มีราคากลาง ตั้งแต่ 500 ล้านบาทขึ้นไป จำนวน 95 โครงการ มีราคารวมกัน 73,346 ล้านบาท มีราคาชนะประมูล 73,171 ล้านบาท ทั้งหมด 7 ปี การประกวดราคาประหยัดงบไปได้แค่ 175 ล้านบาท ห่างจากราคากลาง 0.24% ส่วนโครงการที่มีมูลค่า 450-500 ล้านบาท ทั้งหมด 10 โครงการ มีราคากลางรวมกัน 4,678 ล้านบาท ชนะประมูลรวมกันที่ 3,966 ล้านบาท ประหยัดงบ 711 ล้านบาท คิดเป็น 15.21% หมายความว่าเรื่องชวนหลอนในการประกวดราคากลางของกรมทางหลวง และกรมทางหลวงชนบท จะเกิดขึ้นเฉพาะกับโครงการก่อสร้างที่มีมูลค่าตั้งแต่ 500 ล้านบาทขึ้นไป
นายวิโรจน์ กล่าวว่า หากมีการประกวดราคาอย่างเป็นธรรมแบบที่มนุษย์ทั่วไปเขาทำกัน ประเมินได้เลยว่าใน 7 ปี ประเทศของเราจะสามารถประหยัดงบประมาณได้ถึง 14.97% หรือประมาณ 10,980 ล้านบาท คิดว่าเรื่องนี้นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ซึ่งเป็นมาหลายสมัย ก็น่าจะรู้ดี
@รับเหมาเป็นชั้นพิเศษ ลงมาแข่งราคา เกิดช่องโหว่ฮั้ว-เงินทอน
นายวิโรจน์ กล่าวว่า สาเหตุของเรื่องมาจากประกาศหลักเกณฑ์จับชั้นผู้รับเหมา เพราะผู้รับเหมาชั้น 3 หากจะเลื่อนเป็นชั้น 2 ต้องมีผลงาน 1 โครงการไม่ต่ำกว่า 75 ล้านบาท โดยที่ผู้รับเหมาชั้น 3 จะมีเพดานการประกวดราคาเป็น 2 เท่าของผลงาน ส่วนผู้รับเหมาชั้น 2 ที่จะขอเลื่อนเป็นชั้น 1 ต้องมีผลงาน 1 โครงการไม่ต่ำกว่า 150 ล้านบาท เพดานเป็น 2 เท่า อยู่ที่ 300 ล้านบาท แต่หากผู้รับเหมาชั้น 1 จะเลื่อนเป็นชั้นพิเศษ ต้องมีผลงานหนึ่งโครงการไม่ต่ำกว่า 450 ล้านบาท แต่เพดานในการร่วมประกวดราคาที่ควรจะเป็น 2 เท่า กลับถูกกดให้เหลือเพียงแค่ 500 ล้านบาทเท่านั้น นี่คือเรื่องชวนหลอน
อีกทั้งโครงการก่อสร้างทางที่มีราคากลาง 450-500 ล้านบาท ก็มีอยู่เพียงแค่ 10 โครงการ กล่าวคือ ด้วยช่องว่างเพียงแค่ 50 ล้านบาท ทำให้ผู้รับเหมาชั้นพิเศษสามารถลงมาฟันราคา ให้ราคาชนะประมูลอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 450 ล้านบาทได้ เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้รับเหมาชั้น 1 ชนะประมูล และนำผลงานไปขอเลื่อนเป็นชั้นพิเศษ ซึ่งผู้รับเหมาประเภทพิเศษนี้ มีอยู่แค่ 79 ราย จึงอยู่ในสภาพเป็นเสือนอนกิน รอสัมภเวสีประจำกรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบท มาจัดฮั้วประมูลและส่งเงินทอนให้ โดยที่ไม่ต้องลงแข่งขันอะไรเลย
@เศรษฐา เคยรับปากเพิ่มชั้นรับเหมา 1 ก เพิ่มราคากลางให้สูงกว่า 600 ล. ‘ทล.’ อ้างต้องสงวนงานให้ชั้นพิเศษ
นายวิโรจน์ กล่าวว่า เคยนำเรื่องนี้เข้า กมธ.ติดตามงบฯ เมื่อวันที่ 23 พ.ย.66 ซึ่งได้พบว่าคณะกรรมการราคากลางได้มีการแก้ประกาศหลักเกณฑ์จัดชั้นผู้รับเหมาเบื้องต้นไปแล้ว และนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี ก็เคยตอบกระทู้ว่าได้แก้ปัญหาเบื้องต้น ด้วยการเพิ่มผู้รับเหมาชั้น 1 ก และปรับเพดานให้สามารถประกวดราคาได้ถึง 600 ล้านบาท และจะแก้ไขประกาศฉบับดังกล่าวอีกครั้ง คาดว่าจะแล้วเสร็จใน เดือนมี.ค.67 แต่เมื่อมีการตั้งกระทู้อีกครั้งว่า การเพิ่มผู้รับเหมา 1ก แก้ปัญหาการฮั้วประมูลไม่ได้ เนื่องจากจำนวนโครงการก่อสร้างที่มีราคากลางอยู่ที่ 450-600 ล้านบาท ในแต่ละปีมีน้อยมาก และได้ทำนายล่วงหน้าไปแล้วว่า ในอนาคตกรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบท อาจจะจัดให้มีราคากลางสูงกว่า 600 ล้านบาท เพื่อกีดกันไม่ให้ผู้รับเหมาชั้น 1ก ร่วมประกวดราคา
นายวิโรจน์ กล่าวต่อว่า ได้นำเรื่องนี้เข้า กมธ.ติดตามงบฯ อีกครั้ง หลังเดือนมี.ค.67 เนื่องจากยังไม่มีการแก้ไขหลักเกณฑ์ตามที่นายเศรษฐาให้คำมั่นไว้ แต่ในวันนั้นรู้ความจริงแล้ว เพราะผู้แทนจากกรมบัญชีกลางบอกในที่ประชุมว่า กรมบัญชีกลางมีมติให้ขยับเพดานการประกวดราคาของผู้รับเหมาชั้น 1ก จาก 600 ล้านบาท เป็น 900 ล้านบาท ตั้งแต่วันที่ 18 ก.พ.67 แต่ถูกกรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบทคัดค้าน จนต้องตั้งคณะทํางานเพื่อหาข้อสรุป ซึ่งผู้แทนจากกรมทางหลวงอ้างในที่ประชุมว่า การที่ต้องสงวนงานให้ผู้รับเหมาชั้นพิเศษ เป็นเพราะการจัดการจราจรระหว่างก่อสร้าง หัวเราะกันทั้งห้องประชุม เพราะเป็นเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้น เพราะเป็นเรื่องพื้นฐานที่สุด ที่ผู้รับเหมาชั้นไหนก็ทำได้
นายวิโรจน์ กล่าวว่า หลังจากนั้นตนได้ตั้งกระทู้ถามต่อเนื่องอีก โดยถามรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังไป 3 กระทู้ และถามรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม 2 กระทู้ เพื่อตามเรื่องว่าจะแก้ไขปัญหาดังกล่าวทันกับงบประมานปี 68 หรือไม่ และจะมีการจัดโครงการก่อสร้างทางเพื่อเปิดการแข่งขันด้านราคาให้กับผู้รับเหมาชั้น 1ก ได้ร่วมประมูลหรือไม่ เพื่อป้องกันไม่ให้การฮั้วประมูลเกิดขึ้น แต่จนถึงตอนนี้ งบประมาณปี 69 เข้าสภาแล้ว ยังไม่ได้รับคำตอบเลย อย่างไรก็ตามก็ได้รับคำตอบทางอ้อม ผ่านการจัดงบประมาณปี 68 กรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบท มีโครงการก่อสร้างทางที่มีราคากลาง 450-600 ล้านบาท เพื่อให้ผู้รับเหมาชั้น 1ก สามารถร่วมประกวดราคา เพื่อขอเลื่อนชั้น เพียงแค่โครงการเดียว คือการปรับปรุงสะพานข้ามแยกพระราม 9 ประดิษฐ์มนูธรรม แยกรามคำแหง
นายวิโรจน์ ยกตัวอย่างว่า ในงบประมาณปี 68 กรณีโครงการทางหลวงหมายเลข 118 สายเชียงใหม่-เชียงราย บ้านสันมะแฟน-อ.แม่สรวย อยู่ดีๆมีการแบ่งเป็น 2 ตอน ตอนที่ 1 มีราคา 749 ล้านบาท ตอนที่ 2 มีมูลค่า 749 ล้านบาท รวมทั้งหมดประมาณ 1,500 ล้านบาท ตนจึงมีคำถามว่า ในเมื่อจะแบ่งซื้อแบ่งจ้างแล้วทำไมไม่แบ่งเป็น 3 ตอน เพื่อให้แต่ละตอนมีราคากลางอยู่ที่ 500 ล้านบาท ทำให้ผู้รับเหมาชั้น 1ก สามารถประกวดราคาได้ และทำให้ประเทศสามารถประหยัดงบได้มากขึ้น
นายวิโรจน์ กล่าวต่อว่า จากรายงานการประชุมที่ตนเองได้ไปติดตามมาเกี่ยวกับกรมบัญชีกลางซึ่งยืนยันข้อมูลว่าในปี 2516 การประกวดราคาของผู้รับเหมาชั้นพิเศษประหยัดงบได้เพียง 0.40% ในขณะที่ผู้รับเหมาชั้นหนึ่งประหยัดงบได้ถึง 17.10% โดยส่วนต่างนี้คือเงินทอน และเมื่อพิจารณาจากโครงการทั้งหมด มีจำนวนโครงการต่อจำนวนผู้รับเหมาไม่สอดคล้องกัน โดยผู้รับเหมาชั้นพิเศษสามารถลงมาประมูล โครงการของผู้รับเหมาชั้นธรรมดาได้ โดยคณะกรรมการชุดนี้มีความเห็นตรงกันว่าการจัดชั้นผู้รับเหมาเป็นเพียงการคัดกรองเบื้องต้นการแก้ไขปัญหาผู้รับเหมาทิ้งงานต้องที่การบริหารสัญญาและในกรณีที่เป็นงานที่ต้องใช้เทคนิคเฉพาะก็สามารถกำหนดใน TOR ได้
นายวิโรจน์ ชี้ว่า ปัญหาการทิ้งงานของผู้รับเหมา จากข้อมูลสถิติก็ไม่พบว่ามีปัญหา และการใช้งานก็ไม่ได้มาจากการประกวดราคา แต่มาจากการที่ผู้รับเหมาชั้นพิเศษรับงานมากมาย จนเกิดการขาดสภาพคล่อง โดยคณะทำงานมีมติให้ปรับเพดานการประกวดราคาของผู้รับเหมาชั้น 1ก จาก 600 ล้านบาท ให้เป็น 900 ล้านบาท แต่กรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบทคัดค้านไม่เห็นด้วยกับมติ ซึ่งจากงบ ปี 67 มีโครงการ 400 – 600 ล้านบาทที่ผู้รับเหมาชั้น 1ก ประมูลได้ 8 โครงการ โดยเป็นเพราะงบปี 67 ประกาศใช้แล้วและแก้ไขไม่ทันแล้ว
นายวิโรจน์ กล่าวอีกว่า การที่กรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบทไม่ยอมรับมติของคณะทำงานคณะกรรมาธิการติดตามงบประมาณได้ทำหนังสือแจ้งข้อสังเกตไปยังกรมบัญชีกลาง ป.ป.ช. และ สตง. เป็นที่เรียบร้อย ให้เร่งแก้ไขหลักเกณฑ์การจัดชั้นผู้รับเหมาเพื่อป้องกันการทุจริตการก่อสร้างทางซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายหลักพันล้านบาทต่อปี
”ถ้าการประกวดราคาของโครงการก่อสร้างทาง มีการประกวดที่เป็นธรรม ไม่มีการซุกซ่อนเงินทอนเอาไว้ ประเทศชาติของเราจะสามารถประหยัดเม็ดเงินได้มหาศาล“ นายวิโรจน์ กล่าว
@แฉเงินทอนสร้างทางอื้อ 300-8,000 ล.
นายวิโรจน์ ยังระบุถึงการประเมินเงินทอนจากโครงการก่อสร้างทางในแต่ละปี อาจมีมูลค่าหลายพันล้านบาท โดยได้ยกตัวอย่างตั้งแต่ปี 2564 – 2568 โดยคาดว่าจะมีเงินทอนตั้งแต่ 300 – 8,000 ล้านบาท ถือเป็น 16.7% และเชื่อว่ากระบวนการซุกเงินทอนตั้งแต่หัวโต๊ะไปจนถึงท้ายโต๊ะอาจมีมูลค่าถึงหลายพันล้านบาทต่อปีก็เป็นได้
นายวิโรจน์ กล่าวว่า ในปี 69 จากงบประมาณของกรมทางหลวง และกรมทางหลวงชนบท ทั้ง 2 กรมมีมูลค่า 62,450 ล้านบาท โดยมีโครงการก่อสร้างที่มีราคากลางตั้งแต่ 600 ล้านบาท ขึ้นไป 57 โครงการ
“ผมยืนยันว่า ตราบใดก็ตามที่ยังไม่มีการแก้ไขประกาศหลักเกณฑ์จัดชั้นผู้รับเหมา ก็ประเมินได้เลยว่าในปี 69 ทั้งสองกรม ต้องซุกซ่อนเงินทอนเอาไว้เผื่อการกินเหล็ก ปูน หิน ดิน ทราย ไม่ต่ำกว่า 8,161 ล้านบาท ทั้งนี้ กระทรวงคมนาคมเคยประเมินว่าต้องใช้เงิน 7,000 – 8,000 ล้านบาท เพื่อเป็นเงินกองทุนส่งเสริมระบบตั๋วร่วม ผมจึงมองว่าหากมีการแก้ไขประกาศหลักเกณฑ์จากชั้นผู้รับเหมา จะสามารถนำเงินส่วนนี้ไปทำให้คนไทยใช้รถไฟฟ้าอย่างเสมอภาค ได้ในราคาที่ถูกลง ตนเองหาเงินเข้ากองทุนส่งเสริมระบบตั๋วร่วม ซึ่งทำได้ทันทีหากมีการแก้ไขประกาศดังกล่าว” นายวิโรจน์ระบุ
นายวิโรจน์กล่าวในช่วงท้ายว่า การฮั้วประมูล และการรีดไถจากการก่อสร้างทางของกรมทางหลวง และกรมทางหลวงชนบท เป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ทำให้ผู้รับเหมาทิ้งงาน ทำให้การก่อสร้างล่าช้า ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจการค้าการขายประชาชนผู้อยู่การอาศัย ต้องเผชิญกับฝุ่นควันการก่อสร้างไม่จบไม่สิ้น และยังต้องเสี่ยงอุบัติเหตุจากการจราจร และอุบัติเหตุจากการก่อสร้าง งบที่เผื่อเงินทอนเพื่อการประมูลแบบนี้ หากสภาผู้แทนราษฎรของพวกเรายอมรับ ก็เท่ากับร่วมกันทุจริต และทรยศต่อประชาชน ขาดสำนึกว่างบประมาณทุกบาท มาจากภาษี ที่เป็นหยาดเหงื่อแรงงานของพี่น้องประชาชนคนไทยทั้งประเทศ จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่ตนและพรรคประชาชน ไม่สามารถปล่อยให้งบประมาณของกระทรวงคมนาคมในปี 2569 ที่มีพฤติกรรมเดิม ที่เผื่อสินบาทคาดสินบนแบบนี้ให้ผ่านไปได้




Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา