
ครม.ไฟเขียวจัดสรรงบโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ‘ล็อตแรก’ 1.15 แสนล้านบาท กระจายเงินลง 8.93 พันรายการ พบ 80% ลงทุน-ซ่อม ‘ถนน-ระบบน้ำ’ คาดสร้างงาน 7.4 ล้านราย เพิ่มจีพีดี 0.4%
......................................
เมื่อวันที่ 24 มิ.ย. นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบข้อเสนอโครงการ/รายการกระตุ้นเศรษฐกิจตามแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ภายใต้กรอบวงเงิน 157,000 ล้านบาท ที่ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ จำนวน 481 โครงการ มีจำนวน 8,939 รายการ กรอบวงเงิน 115,375 ล้านบาท ประกอบด้วย

ด้านโครงสร้างพื้นฐาน มีข้อเสนอโครงการฯ ที่ผ่านการพิจารณา 34 โครงการ มีจำนวน 7,986 รายการ วงเงินรวม 85,000 ล้านบาท หรือประมาณ 80% ของวงเงินโครงการที่ได้รับความเห็นชอบฯในครั้งนี้ ได้แก่
1.โครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำ มีข้อเสนอโครงการฯที่ผ่านการพิจารณา 8 โครงการ มีจำนวน 2,881 รายการ วงเงิน 39,136 ล้านบาท แบ่งออกเป็น 5 ด้าน ได้แก่ 1) การพัฒนาน้ำอุปโภคบริโภค เช่น ซ่อมแซมระบบประปาเดิมที่ชำรุด ก่อสร้างระบบประปาผิวดินและน้ำใต้ดินที่มีปัญหาอยู่ และซ่อมแซมสถานีสูบน้ำหรืออ่างเก็บน้ำ เป็นต้น 2) การปรับปรุงเพิ่มประสิทธิภาพแหล่งน้ำเดิมและพัฒนาระบบกระจายน้ำ 3) พัฒนาพื้นที่เกษตรน้ำฝน 4) พัฒนาพื้นที่หน่วงน้ำและการป้องกันน้ำท่วมชุมชนเมือง
โดยคาดว่าจะสามารถป้องกันอุทกภัยในช่วงฤดูฝน สร้างพื้นที่กักเก็บน้ำไว้ใช้สำหรับฤดูแล้ง และป้องกันการชะล้างพังทลายของดิน พื้นที่ได้รับการป้องกันน้ำท่วมหรือการชะล้างพังทลายของดิน 191,167 ไร่ และสามารถกระจายน้ำไปยังชุมชนและพื้นที่ต่างๆ ผลิตน้ำเพื่อสนับสนุนภาคเกษตรในพื้นที่ทั่วประเทศ พัฒนาและปรับปรุงระบบน้ำประปา ทำให้ปริมาณน้ำเพิ่มขึ้น 192.22 ล้านลูกบาศก์เมตร ในภาพรวมมีพื้นที่ได้รับประโยชน์ 4,791,974 ไร่ ครัวเรือนได้รับประโยชน์ 906,803 ครัวเรือน และสามารถสร้างการจ้างงานได้ 73,807 คนต่อเดือน

2.โครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม มีข้อเสนอโครงการฯ ที่ผ่านการพิจารณา 26 โครงการ มีจำนวน 5,105 รายการ วงเงิน 45,864 ล้านบาท แบ่งออกเป็น 6 ด้าน ได้แก่ 1) ปรับปรุงและพัฒนาถนนเชื่อมเมืองรอง รวมถึงแหล่งท่องเที่ยว 2) เพิ่มความปลอดภัยในการเดินทางและขนส่ง เช่น ปรับปรุงระบบไฟส่องสว่าง การติดตั้งกล้อง CCTV เป็นต้น 3) พัฒนาโครงข่ายส่งเสริมพื้นที่เกษตรกรรม 4) ปรับปรุงจุดพักรถบรรทุกเพื่อให้บังคับใช้ได้ตามกฎหมาย 5) แก้ปัญหาจุดตัดทางรถไฟและถนนเสมอระดับ 6) แก้ไขปัญหาจราจร พื้นที่คอขวด และพื้นที่ขาดความเชื่อมโยง
ทั้งนี้ คาดว่าจะสามารถพัฒนาถนนในภาพรวมได้ 417 กิโลเมตร ซ่อมบำรุง ปรับปรุง และยกระดับเส้นทางได้ 1,689 แห่ง อำนวยความปลอดภัยได้ 3,604 แห่ง และสามารถสร้างการจ้างงานได้ 2.85 แสนคน
“การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานหรือการซ่อมแซมในสิ่งเหล่านี้ จะเป็นการสร้างขีดความสามารถในระยะยาว เพราะการซ่อมแซมสิ่งเหล่านี้ในระยะสั้นนั้น จะไปเชื่อมกับแผนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ในระยะกลางและระยะยาวที่จะมีต่อไป” นายพิชัย กล่าว

ด้านการท่องเที่ยว มีข้อเสนอโครงการฯ ที่ผ่านการพิจารณา 420 โครงการ มีจำนวน 922 รายการ วงเงินรวม 10,053 ล้านบาท แบ่งออกเป็น 4 ด้านหลัก ได้แก่ 1) ปรับปรุงและพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว สนามกีฬา และสิ่งอำนวยความสะดวก อาทิ ห้องน้ำ ห้องพัก สถานที่ ป้ายบอกทาง 2) พัฒนาระบบอำนวยความสะดวกให้แก่นักท่องเที่ยว 3) พัฒนาและยกระดับความปลอดภัยให้แก่นักท่องเที่ยว อาทิ การติดตั้งระบบโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV) ในพื้นที่เมืองท่องเที่ยวสำคัญ
และ 4) กระตุ้นเศรษฐกิจภาคการท่องเที่ยวภายในประเทศโดยเฉพาะในพื้นที่เมืองรอง โดยคาดว่า จะสนับสนุนให้มีนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นกว่า 2,766,000 คน สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้กว่า 55,059 ล้านบาท และมีประชาชนได้รับประโยชน์จากการปรับปรุงเส้นทางเพื่อการท่องเที่ยวประมาณ 7.6 ล้านคน

@1.1 หมื่นล.ลดผลกระทบส่งออก-เตรียมซอฟต์โลน 1 แสนล.
ด้านลดผลกระทบภาคการส่งออก เพิ่มผลิตภาพ และดิจิทัล มีข้อเสนอโครงการฯ ที่ผ่านการพิจารณา 10 โครงการ มีจำนวน 10 รายการ วงเงินรวม 11,122 ล้านบาท แบ่งออกเป็น 3 ด้าน ได้แก่ 1) ด้านการเกษตร ผ่านการพิจารณา 4 โครงการ (4 รายการ) วงเงิน 160 ล้านบาท ช่วยให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 6,000 บาทต่อไร่ต่อปี ช่วยให้สถาบันเกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 320,000 บาทต่อปี
2) ด้านแรงงาน ผ่านการพิจารณา 1 โครงการ (1 รายการ) วงเงิน 10,000 ล้าน บาท โดยจัดสรรงบให้กับกองทุนประกันสังคม เพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบให้แรงงานและผู้ประกอบการ โดยเฉพาะวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายกำแพงภาษีของสหรัฐอเมริกาก่อนเป็นลำดับแรก ผ่านการสนับสนุนสินเชื่อให้สถานประกอบการกว่า 1,700 แห่ง ซึ่งสนับสนุนการจ้างงานประมาณ 1 แสนคน
และ 3) ด้านดิจิทัล ผ่านการพิจารณา 5 โครงการ (5 รายการ) วงเงิน 962 ล้านบาท มีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่สนับสนุนการค้าระหว่างประเทศ ภาคเกษตรกรรม และการให้บริการประชาชน กว่า 20,000 ราย
“ในการแก้ปัญหาด้านการส่งออก แม้ว่าเราจะแบ่งมาให้ตรงนี้ 1.1 หมื่นล้านบาท จากทั้งหมด 1.57 แสนล้านบาท แต่จริงๆแล้ว เราสามารถแก้ปัญหาการส่งออก โดยใช้เงินส่วนอื่นๆที่อยู่นอกงบนี้ได้ เช่น การใช้ซอฟต์โลนจากธนาคารพาณิชย์ ซึ่งเราได้หารือกับธนาคารพาณิชย์เอาไว้แล้ว โดยเฉพาะธนาคารของภาครัฐที่มีซอฟต์โลนค่อนข้างมาก โดยในกลุ่มธนาคารของรัฐ เราได้เตรียมซอฟต์โลนเอาไว้ 1-2 แสนล้านบาท” นายพิชัย กล่าว

ด้านเศรษฐกิจชุมชนและอื่นๆ มีข้อเสนอโครงการฯ ที่ผ่านการพิจารณา 17 โครงการ มีจำนวน 21 รายการ วงเงิน 9,201 ล้านบาท แบ่งเป็น (1) กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ ผ่านโครงการพัฒนาศักยภาพของหมู่บ้านและชุมชน (SML) วงเงิน 4,000 ล้านบาท (2) ทุนมนุษย์ด้านการศึกษา วงเงิน 3,641 ล้านบาท สำหรับใช้เป็นทุนการศึกษาและการฝึกอบรมในเชิงวิชาชีพ เป็นต้น และ (3) พัฒนาเศรษฐกิจชุมชน วงเงิน 1,560 ล้านบาท
“การกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งนี้ เป็นผลสืบเนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาได้เกิดเหตุการณ์หลายอย่างจากนอกประเทศ เช่น สงครามการค้า และการประกาศนโยบาย reciprocal tariffs ของสหรัฐ ซึ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยและทุกประเทศ ในด้านการส่งออก และจะทำให้รายได้ของประชาชนลดลง โดยเฉพาะในภาคการส่งออก
เมื่อเราคาดว่าจะเกิดเหตุการณ์นี้ รัฐบาลจึงต้องทบทวนว่า งบประมาณที่มีอยู่ในปีงบ 2568 จะใช้อย่างไรให้คุ้มค่ามากที่สุด สิ่งหนึ่งก็คือ เมื่อมีปัญหาการส่งออก จึงต้องส่งเสริมการสร้างขีดความสามารถการแข่งขันในระยะยาวให้ได้ จากการที่เราจะเข้าไปอุดหนุนการบริโภค เราจึงต้องใช้งบเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ให้ได้” นายพิชัย ระบุ

@กลั่นกรองโครงการฯ 5 ชั้น ‘พิชัย’มั่นใจ‘คุ้มค่า-รัดกุม’
นายพิชัย กล่าวว่า ในการพิจารณาจัดสรรงบกระตุ้นเศรษฐกิจฯดังกล่าว มีการกำหนดหลักเกณฑ์การกลั่นกรองโครงการฯไว้ถึง 5 ชั้น เช่น ต้องเป็นไปตามระเบียบว่าด้วยการใช้งบกลางฯ ต้องไม่เข้าข่าย Negative List 19 ข้อ ต้องเป็นโครงการที่กระจายเม็ดเงิน กระตุ้นเศรษฐกิจ เกิดการสร้างงาน และส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจระยะยาว เป็นต้น ส่งผลให้โครงการฯที่เสนอเข้ามา ซึ่งมีวงเงิน 3.42 แสนล้านบาท ผ่านการพิจารณากลั่นกรองฯ 1.15 แสนล้านบาท
“เราได้ทำลิสต์ขึ้นมา 19 ข้อ หรือที่เรียกว่า Negative List 19 ข้อ ว่า ถ้าเป็นอย่างนี้จะไม่เข้า เช่น เราอยากเห็นการจ้างงาน เราก็ไม่อยากเห็นการใช้งบนี้ไปซื้อครุภัณฑ์เฉยๆ หรือเราอยากจะเห็นการใช้งบครั้งนี้มีการจัดซื้อจัดจ้างด้วยความโปร่งใสตามวิธีการงบประมาณ เราจึงไม่อยากให้มีการจัดซื้อจัดจ้างด้วยวิธีพิเศษ ดังนั้น อะไรที่เป็นงบรายจ่ายที่ต่ำกว่า 5 แสนบาท ซึ่งสามารถจัดซื้อจัดจ้างด้วยวิธีพิเศษได้ เราก็ไม่อนุญาต ยกเว้นว่าจะจำเป็นจริงๆ เช่น การติดตั้งไฟในห้องน้ำสาธารณะ เป็นต้น” นายพิชัย กล่าว
ส่วนวงเงินที่เหลืออีก 41,625 ล้านบาท จากกรอบวงเงินภายใต้แผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจทั้งหมด 1.57 แสนล้านบาท นั้น คณะกรรมการกลั่นกรองฯ จะพิจารณาคำขอของหน่วยรับงบประมาณในโครงการอื่นๆต่อไป ซึ่งยังเหลือเวลาในการพิจารณาอีกหลายเดือนกว่าจะสิ้นปีงบประมาณ 2568
นายพิชัย ระบุว่า สำหรับโครงการฯที่ผ่านการกลั่นกรองและได้รับความเห็นชอบจาก ครม. ในครั้งนี้ ซึ่งรวมถึงโครงการจะที่ผ่านการกลั่นกรองและได้รับความเห็นชอบจาก ครม. ในครั้งต่อๆไป หน่วยงานที่ได้รับจัดสรรงบประมาณจะต้องมีการลงนามผูกพันงบประมาณให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 30 ก.ย.2568 หรือภายในปีงบประมาณ 2568 และต้องมีการใช้จ่ายหรือมีการจ้างงานจริงให้แล้วเสร็จภายใน 12 เดือนข้างหน้า หรือภายในวันที่ 30 ก.ย.2569

@เม็ดเงิน 1.15 แสนล.กระตุ้นจีดีพี 0.4%-จ้างงาน 7.4 ล้านราย
นายพิชัย กล่าวว่า ผลต่อเศรษฐกิจจากโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจฯ สามารถสรุปได้ 6 ประเด็น ได้แก่
1.เม็ดเงินที่ผ่านการพิจารณากระจายไปยังภูมิภาคที่มีรายได้ต่อหัวต่ำ : การกระจายวงเงินงบประมาณลงในพื้นที่ที่มีรายได้ต่อหัวต่ำ ในสัดส่วนที่สูงกว่าพื้นที่อื่น โดยเฉพาะในภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ขณะที่ภาคตะวันออก กรุงเทพฯ และภาคกลาง ซึ่งมีรายได้ต่อหัวสูง จะมีการกระจายวงเงินงบประมาณในสัดส่วนที่น้อยกว่า
2.เม็ดเงินกระจายไปทั่วประเทศทั้งในระดับจังหวัดและอำเภอ : การกระจายวงเงินงบประมาณมีความทั่วถึง ทั้งในระดับจังหวัดและอำเภอ ทุกพื้นที่ให้ความสำคัญกับการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะด้านน้ำและด้านคมนาคม ถือเป็นการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจในระยะกลางถึงระยะยาว
3.จังหวัดที่มีรายได้ต่อหัวต่ำ (ยากจน) ได้รับวงเงินสูงกว่าโดยเปรียบเทียบ : การกระจายวงเงินประมาณให้ความสำคัญกับจังหวัดที่ยากจน โดยจังหวัดที่มีรายได้ต่อหัวต่ำหลายจังหวัด ได้รับวงเงินที่ผ่านการพิจารณามากกว่าจังหวัดที่มีรายได้ต่อหัวสูงกว่า
4.จังหวัดที่มีขนาดของเศรษฐกิจเล็ก จะเกิดผลกระทบทางเศรษฐกิจสูงกว่าจังหวัดที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ : การกระจายวงเงินประมาณ พบว่า จังหวัดที่มีขนาดเศรษฐกิจเล็กได้รับวงเงินที่ผ่านการพิจารณามากกว่าจังหวัดที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่กว่า ทำให้เกิดผลต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจมากกว่า
5.เม็ดเงินที่ลงทุนสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจอย่างทั่วถึง ก่อให้เกิดผลเชื่อมโยงไปยังสาขาเศรษฐกิจต้นน้ำและปลายน้ำ (Forward และ Backward Linkage): เช่น สาขาก่อสร้าง สาขาค้าปลีกค้าส่ง สาขาการเงิน และบริการอื่นๆ เป็นต้น
6.เม็ดเงินที่ลงทุนสนับสนุนให้เกิดการจ้างงานไม่น้อยกว่า 7.4 ล้านคน วงเงินการจ้างงาน 34,008 ล้านบาท คิดเป็นประมาณ 30% ของของเม็ดเงินรวมที่จะเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ 115,375 ล้านบาท
“เม็ดเงินที่เราใช้ทั้งหมด 1.15 แสนล้านบาท จะส่งผลให้เศรษฐกิจไทยขยายตัว 0.4% ควบคู่ไปกับการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจในระยะยาวด้วย คือ ใช้เงินสั้น จ่ายเร็ว แต่สิ่งที่ได้ คือ การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ เพื่อให้ไปเชื่อมกับการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจในระยะยาวที่มีขนาดใหญ่ต่อไป ขณะเดียวกัน เม็ดเงินนี้จะทำให้เกิดการจ้างงาน 7.4 ล้านคน” นายพิชัย กล่าว
นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวว่า โครงการฯที่ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองฯ และได้รับความเห็นชอบจาก ครม. ซึ่งมีวงเงินรวม 1.15 แสนล้านบาท นั้น ทุกโครงการมีความพร้อม มีแผนงานชัดเจน และพร้อมเริ่มดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างได้ทันที ซึ่งตามกระบวนการขั้นตอนงบประมาณแล้ว โครงการเหล่านี้จะต้องลงนามสัญญา รวมทั้งผูกพันงบประมาณให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 30 ก.ย.2568 แต่หากโครงการใดดำเนินการได้เร็ว ก็เริ่มได้ทันที
ด้าน นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กล่าวว่า ในการแถลงตัวเลขเศรษฐกิจครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 19 พ.ค.2568 สศช.ประเมินเศรษฐกิจไทยปี 2568 จะขยายตัว 1.3-2.3% ซึ่งงบกระตุ้นเศรษฐกิจตามแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่ ครม. อนุมัติ 1.15 แสนล้านบาทนั้น จะเข้าไปเสริมและช่วยในแง่การขยายตัวทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น 0.4% แต่ต้องขึ้นอยู่กับว่า การเบิกจ่ายเม็ดเงิน 1.15 แสนล้านบาทจะเป็นอย่างไร หากเบิกจ่ายได้มาก ก็จะช่วยพยุงให้เศรษฐกิจขยายตัวเพิ่มขึ้น
“ยิ่งเบิกจ่ายได้มาก ก็จะช่วยพยุงและทำให้เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น ซึ่งการเบิกจ่ายเม็ดเงินในแต่ละช่วงคงไม่เท่ากัน จึงขึ้นอยู่กับว่าเม็ดเงินที่เบิกได้ในช่วงนั้น จะส่งผลให้เศรษฐกิจขยายตัวได้เท่าไหร่ แต่ถ้าเบิกได้ทั้งหมด 1.15 แสนล้านบาท ก็จะได้ 0.4% อย่างไรก็ดี การเติบโตของเศรษฐกิจในปี 2568 มีปัจจัยอื่นๆ เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยหลายตัว ฉะนั้น เงินในส่วนนี้ จะเข้าไปเสริมให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้เพิ่มขึ้น 0.4%” นายดนุชา กล่าว


Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา