
เปิดเบื้องลึก แพทองธาร สั่ง ครม. ยืนยันประวัติ-สแกนคุณสมบัติ รัฐมนตรีเก่า โดนฟ้อง-ยังไม่โอนหุ้น-แจ้ง ป.ป.ช. เสี่ยงหลุดจากตำแหน่ง เข้ม คุณสมบัติ รัฐมนตรีใหม่ ชี้ขาด ปม จริยธรรม-ซื่อสัตย์สุจริต
สืบเนื่องจากกรณีนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มอบนโยบายในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ให้ยืนยันประวัติและอัพเดทคุณสมบัติการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีทุกคน เพื่อความรอบคอบและไม่ให้พลาดเหมือนในครั้งที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้นายเศรษฐา ทวีสิน พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี กรณีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ เนื่องจากตั้งนายพิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า การให้รัฐมนตรีปัจจุบันทุกคนยืนยันประวัติในครั้งนี้ จะมีการตรวจคุณสมบัติในบางประเด็น ส่วนจะมีผลต่อตำแหน่งรัฐมนตรีที่เป็นอยู่หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการยืนยันของรัฐมนตรีแต่ละคนว่า ในช่วงของการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีมีใครอยู่ในกระบวนการตรวจสอบ หรือ ฟ้องร้องหรือไม่ ซึ่งสุดท้ายการพิจารณาตัดสินใจเป็นของนายกรัฐมนตรี
“นายกรัฐมนตรีต้องการจะอัพเดทข้อมูลว่ามีการเปลี่ยนแปลงอะไรหรือไม่ เช่น ช่วงระยะเวลาของการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีคนใดโดนดำเนินคดีเรื่องอะไร หรือ โอนหุ้นตามเวลาที่กฎหมายหรือไม่ เนื่องจากภายหลังได้รับการโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี มีหน้าที่ต้องโอนหุ้นและแจ้งต่อ ป.ป.ช. ตามพ.ร.บ.การจัดการหุ้นส่วนและหุ้นของรัฐมนตรี พ.ศ.2543”รายงานข่าวระบุ
รายงานข่าวเพิ่มเติมว่า ถึงแม้จะเป็นเพียงการยืนยันประวัติและคุณสมบัติความเป็นรัฐมนตรี ว่าที่ผ่านมามีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ แต่ไม่ต่างอะไรจากการตรวจสอบประวัติใหม่ เพราะหากพบว่า มีประเด็นเกี่ยวกับคุณสมบัติความเป็นรัฐมนตรีเกิดขึ้น ก็สุ่มเสี่ยงที่รัฐมนตรีจะหลุดออกจากตำแหน่งได้
รายงานข่าวเพิ่มเติมว่า ส่วนการตรวจสอบประวัติบุคคลที่ได้รับการเสนอชื่อในการปรับครม.ครั้งนี้ รายใดหากมีประเด็นในข้อกฎหมายจะต้องส่งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาตรวจสอบ เนื่องจากศาลรัฐธรรมนูญได้วางบรรทัดฐานไว้ว่าต้องถามกฤษฎีกา ดังนั้น การตรวจสอบประวัติรัฐมนตรีรอบนี้ถือว่า เข้มงวดเป็นอย่างมาก มากกว่าในอดีตที่ผ่านมา
ส่วนกรณีมีชื่อในโผครม.บางคน เป็นผู้ที่อยู่ระหว่างหน่วยงานตรวจสอบรับคำร้อง โดนไต่สวนในชั้นคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ( ป.ป.ช.) หรือ สำนักงานตำรวจแห่งชาติจะส่งผลต่อคุณสมบัติการเป็นรัฐมนตรีหรือไม่นั้น ความเห็นของกฤษฎีกาที่ผ่านมายึดหลักว่า กรณีอยู่ระหว่างไต่สวน ยังอยู่ระหว่างต่อสู้ในชั้นศาล ยังไม่ตัดสิน ยังไม่วินิจฉัย คดียังอยู้ในกระบวนการ ยังอยู่ระหว่างอุทธรณ์ ยังไม่ถึงที่สุด ถือว่ายังไม่มีความผิด แต่เป็นคนละเรื่องกับจริยธรรม เพราะหากข้อกล่าวหาที่อยู่ระหว่างไต่สวนเรื่องร้ายแรง เช่น ทุจริตคอร์รัปชั่น นายกรัฐมนตรีมีอำนาจที่จะไม่แต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีก็ได้ เพราะต้องพิจารณาในเรื่องจริยธรรม ความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา