
‘สุชาติ’ เตรียมเสนอวิปรัฐบาล ชงแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 206 เอาผิดพระสงฆ์เสพเมถุนได้ ยังไม่ได้กำหนดระยะเวลา แต่จะเร่งรัดให้เร็วที่สุด
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า วันที่ 15 กรกฎาคม 2568 นายสุชาติ ตันเจริญ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะกำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ให้สัมภาษณ์ว่า การแก้ไขปัญหาสงฆ์ น่าจะควรแก้กฎหมาย โดยเฉพาะประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 206 เพราะเป็นเรื่องของสถานที่ ไม่ใช่บุคคล โดยรัฐบาลจะเร่งเจรจากับสภาผู้แทนราษฎรเพื่อให้พิจารณาเร่งด่วน 3 วาระรวดในคราวเดียว
ผู้สื่อข่าวถามว่า จะทำอย่างไรให้เกิดความเร่งด่วน นายสุชาติ กล่าวว่า กำลังจะคุยกับคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร (วิปรัฐบาล) ให้ไปเจรจากับสภาฯให้พิจารณา 3 วาระรวด จะได้หรือไม่ ซึ่งจะเป็นการแก้กฎหมาย เพราะถ้าจะให้เป็นการร่างกฎหมายใหม่มีหลายองค์ประกอบ ตอนนี้ต้องเน้นเรื่องพระสงฆ์ ซึ่งเป็นเรื่องเร่งด่วนก่อน โดยในส่วนที่แก้ไขจะเป็นเรื่อง ความผิดของผู้เสพเมถุนจะเป็นพระสงฆ์ สามเณรหรือสีกา อะไรที่ผิดวินัยสำหรับพระสงฆ์ก็จะโดนในเรื่องนี้ ส่วนบุคคลธรรมดาถึงจะสมัครใจก็โดน โดยมีโทษทั้งโทษปรับสูงสุด 24,000 บาทและโทษจำคุก 1-7 ปี
เมื่อถามว่า จะสามารถนำกฎหมายเข้าสภาฯได้เมื่อไหร่ นายสุชาติ กล่าวว่า กำลังจะเร่งอยู่ เพราะขั้นตอนมันเยอะ ทั้งนี้ ร่างกฎหมายที่ร่างมา ยังไม่พอใจ ขอไปแก้ไขนิดหน่อย ซึ่งยังไม่ทราบว่า จะนำเข้าคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันไหน ขอดูอีกครั้ง แต่จะเร่งให้เร็วที่สุด
เมื่อถามย้ำว่า ถ้าเร่งที่สุด จะอยู่ในกรอบเวลาเท่าไหร่ นายสุชาติ กล่าวว่า ขึ้นอยู่ที่กระบวนการทำประชาพิจารณ์ด้วย ซึ่งรัฐบาลอยากรับทราบว่า ประชาชนอยากให้เร่งแก้ไข เพื่อไม่ให้ปัญหาเกิดขึ้นอีก
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 206 บัญญัติไว้ว่า ผู้ใดกระทำด้วยประการใด ๆ แก่วัตถุหรือสถานอันเป็นที่เคารพในทางศาสนาของหมู่ชนใด อันเป็นการเหยียดหยามศาสนานั้น ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงเจ็ดปี หรือปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ส่วนกรณีศาลอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ได้อนุมัติออกหมายจับ สีกากอล์ฟ ในข้อหา สนับสนุนเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ม.147 ร่วมกันฟอกเงิน สมคบกันฟอกเงิน รับของโจร หลังพบเส้นทางการเงินของ อดีตพระเทพพัชราภรณ์ อดีตเจ้าอาวาสวัดชูจิตธรรมาราม จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โอนเงินให้ 3.8 แสนบาท ซึ่งเป็นเงินจากบัญชีของวัดนั้น นายสุชาติกล่าวว่า หลังไปดูข้อประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 338 เห็นช่องทางที่จะเอาผิดได้ มีการข่มขู่เพื่อรีดทรัพย์ โดยทำเป็นปกติธุระ จะเข้ามาตรา 3 กฎหมายการฟอกเงิน ซึ่งสามารถเอาผิดเพิ่มได้ เป็นข้อหาหนัก มีการข่มขู่รีดทรัพย์เพราะดูจากที่เป็นข่าว ไม่ต้องดูหลักฐานก็ชัด เชื่อว่าตำรวจมีหลักฐานจำนวนมาก ซึ่งจะเป็นกรณีตัวอย่างกรณีแรกที่เป็นตัวบ่อนทำลายศาสนา เพื่อไม่ให้มีใครกล้าทำตาม ส่วนสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) จะไปแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมหรือไม่ ต้องพูดคุยกับพนักงานสอบสวน เราไม่ได้ดูรายละเอียดลึก
ส่วนจะถือว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจทำงานเร็วหรือไม่ นายสุชาติ กล่าวว่า ก็ต้องการแบบนั้น เพราะไม่อยากให้เป็นตัวอย่างหรือเอาไปทำลักษณะนี้อีกต่อไป ใครทำผิดก็ต้องจับ ต้องจับทันที ต้องมีโทษรุนแรง คนอื่นจะไม่กล้า ศาสนาพุทธจะต้องเรียกศรัทธามา ไม่ใช่จะมีแต่ข่าวแบบนี้
ขณะที่กรณีที่มีพระผู้ใหญ่ยอมสึกเพิ่มเติม นายสุชาติระบุว่า ยอมสึกด้วยตัวเองดีกว่ารอหมายจับจากศาล ถ้าทำผิดก็ควรจะต้องสึก ไม่ต้องรอให้จับสึก ท่านต้องรู้ตัวเอง เป็นถึงพระชั้นผู้ใหญ่ด้วย ไม่มีข้อยกเว้นแม้ว่าจะไม่มีความสัมพันธ์ฉันชู้สาว เป็นการโอนเงินอย่างเดียวก็ไม่ได้ เพราะเงินไม่ใช่เงินพระ เป็นทรัพย์ของวัดที่ได้มาจากคนทำบุญ เพื่อให้ทำนุบำรุงศาสนา จะเอาไปให้ใครไม่ได้ ถ้าอ้างว่าเป็นเงินส่วนตัว ขอถามกลับว่าเอาเงินส่วนตัวมาจากไหน ถ้าไม่ใช่เงินชาวบ้าน พระไม่ควรถือครองเงิน ควรจะสมรรถะมีเท่าที่พอใช้กินอยู่ตามปัจจัยสี่
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 206 บัญญัติไว้ว่า ผู้ใดกระทำด้วยประการใด ๆ แก่วัตถุหรือสถานอันเป็นที่เคารพในทางศาสนาของหมู่ชนใด อันเป็นการเหยียดหยามศาสนานั้น ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงเจ็ดปี หรือปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ก่อนหน้านี้ ผู้สื่อข่าวพบว่า มีการร่างตัวอย่างร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับ ที่ ........)พ.ศ. ............โดยกำหนดหลักการและเหตุผลไว้ว่า ด้วยปัจจุบันมีผู้ใช้อุบายยั่วยวนพระภิกษุสงฆ์ให้มีเพศสัมพันธ์ฉันท์ชู้สาว เพื่อแสวงหาประโยชน์ทางด้านทรัพย์สินจากพระมากขึ้น และผู้กระทำนั้นไม่ต้องรับผิด เพราะไม่มีกฎหมายกำหนดความผิดไว้ ทำให้มีการกระทำดังกล่าวแพร่หลายมากขึ้นและอาจเป็นอันตรายต่อศาสนา ทำให้เกิดความเสื่อมศรัทธาในพระศาสนา จึงต้องมีตรากฎหมายนี้ไว้เพื่อป้องปรามการกระทำดังกล่าวและเพื่อคุ้มครองศาสนาจากการกระทำดังกล่าว
โดยเนื้อหาสำคัญอยู่ที่ มาตรา 4 ของร่างพ.ร.บ.ดังกล่าว ที่กำหนดว่า ให้เพิ่มข้อความดังต่อไปนี้ เป็นมาตรา 208/1 แห่งประมวลกฎหมายอาญา
"พระภิกษุ สามเณร และนางชี หากกระทำชำเรากับหญิงหรือชาย หรือมีการชำเรากับบุคคลในกลุ่มเดียวกัน ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงสามปี และปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทถึงหกหมื่นบาท
"บุคคลใดสมัครใจร่วมกระทำชำเรากับภิกษุ สามเณร นางชีต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงสามปีและปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทถึงหกหมื่นบาท"

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา