
ศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา แถลงผล พิสูจน์ทราบการเก็บกู้วัตถุระเบิด พบ ทุ่นระเบิด สภาพใหม่-วางหลังเหตุปะทะ 28 พ.ค.68 พบเพิ่มอีก 2 จุด ใกล้จุดพลทหารเหยียบกับระเบิด 20-30 เซนติเมตร เตรียมเชิญผู้ช่วยทูตทหารต่างประเทศ-กองทัพต่างประเทศรับฟังข้อเท็จจริงเร็วๆ นี้ กระทรวงต่างประเทศ ส่งหนังสือประท้วงเป็นลายลักษณ์อักษรไปยังกัมพูชา เตรียมแจ้งญี่ปุ่น ในฐานะประธานรัฐภาคีอนุสัญญา กัมพูชาละเมิดอนุสัญญาออตตาวาต้องรับผิดชอบ
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า วันที่ 21 กรกฎาคม 2568 ที่ศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา (ศบ.ทก.) ทำเนียบรัฐบาล พลเรือตรีสุรสันต์ คงสิริ รองโฆษกกองบัญชาการกองทัพไทย ในฐานะ โฆษก ศบ.ทก. ด้านความมมั่นคง แถลงข่าวภายหลังพล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมพิจารณาผลการพิสูจน์ทราบทุ่นระเบิดจากเหตุการณ์หน่วยเฉพาะกิจที่ 1 กองกำลังสุรนารี ปฏิบัติการลาดตะเวนเพื่อคุ้มครองตามแนวเส้นทางจากฐานมรกตสู่เนิน 481 ซึ่งเป็นพื้นที่อธิปไตยของไทย โดยมีพลทหารเหยียบกับระเบิดได้รับบาดเจ็บทุพพลภาพสูญเสียอวัยวะขาขาดเมื่อวันที่ 16 ก.ค.68 หลังจากนั้นทางการไทยได้จัดหน่วยผู้เชี่ยวชาญด้านวัตถุระเบิดเข้าไปพิสูจน์ทราบเมื่อวันที่ 18 ก.ค.68 ในพื้นที่เกิดเหตุ ซึ่งจุดเกิดเหตุอยู่ห่างจากเส้นปฏิบัติการ 130 เมตร โดยจุดวางทุ่นระเบิดนั้นอยู่บนเส้นทางลาดตะเวนของฝ่ายไทย ตามปกติ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเหตุสุดวิสัย
พลเรือตรีสุรสันต์ กล่าวว่า หน่วยพิสูจน์ทราบได้ว่า หลุมระเบิดที่เกิดเหตุมีความกว้าง 69 เซนติเมตร ลึก 23 เซนติเมตร โดยพบเศษระเบิดชนิด PMN 2 และพบทุ่นระเบิดชนิดเดียวกันเพิ่มอีก 2 จุด โดยจุดแรกพบว่าอยู่ห่างจากต้นพญาสัตบรรณ ประมาณ 50 เมตร ใกล้คูเลตที่ทางทหารกัมพูชาเคยขุดไว้ และเป็นกรณีที่เป็นข้อพิพาทระหว่างกัน และตรงนั้นยังพบทุ่นระเบิดอีก 3 ทุ่น ส่วนจุดที่สอง พบเพิ่มอีก 5 ทุ่น ซึ่งห่างจากจุดแรก ประมาณ 100 เมตร รวมทั้งหมดที่มีการพิสูจน์ทราบในวันที่ 18 ก.ค.68 รวมทั้งหมด 7 ทุ่น
“จากการตรวจพบทุ่นระเบิดทั้ง 7 ทุ่น ยืนยันว่าเป็นระเบิดชนิด PMN 2 โดยมีสภาพใหม่ พร้อมทำงาน ปรากฏตัวอักษรชัดเจน บริเวณข้างตัวทุ่นระเบิด ซึ่งทุ่นระเบิดชนิดนี้ ประเทศไทยและกองทัพไทยไม่เคยมีในสารบบยุทโธปกรณ์”พลเรือตรีสุรสันต์กล่าว
พลเรือตรีสุรสันต์ กล่าวว่า ยังมีหลักฐานที่ชัดเจนที่บ่งบอกว่าเป็นทุ่นระเบิดชนิดใหม่ คือ สภาพที่วางทุ่นระเบิดนั้นยังไม่มีวัชพืชหรือรากไม้ใดขึ้นปกคลุม เป็นพื้นที่ใหม่ และพบร่องรอยการขุดเพื่อวางทุ่นระเบิดด้วย คาดว่าเป็นการวางทุ่นระเบิดหลังจากเกิดเหตุการณ์ปะทะเมื่อวันที่ 28 พ.ค.68
พลเรือตรีสุรสันต์ กล่าวว่า ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 20 ก.ค.68 ได้ตรวจพบทุ่นระเบิดชนิด PMN 2 อีก 2 จุด ในบริเวณที่อยู่ห่างจากเหตุการณ์หลุมระเบิดที่พลทหารบาดเจ็บจากการเหยียบกับระเบิดประมาณ 20-30 เซนติเมตร ชี้ให้เห็นว่ามีการวางทุ่นระเบิดใหม่เพิ่มเติม โดยมีเป้าหมายสังหารบุคคลและเป็นการละเมิดอนุสัญญาออตตาวาอย่างชัดเจน รวมถึงรุกล้ำอธิปไตยของไทย
พลเรือตรีสุรสันต์ กล่าวว่า จากเหตุการณ์ดังกล่าวกองทัพได้ยกระดับการปฏิบัติให้เข้มข้นขึ้น โดยให้หน่วยในพื้นที่เพิ่มความระมัดระวังในการลาดตะเวน และเตรียมความพร้อมสูงขึ้นตามกฎการใช้กำลังของกองทัพ
“ในส่วนของระดับส่วนกลาง กองทัพไทย โดยศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติได้ออกหนังสือประณามการกระทำดังกล่าวเมื่อวันที่ 20 ก.ค.68 และยังคงติดตามและมีมาตรการเพิ่มเติมต่อไป และมีวาระที่จะเชิญผู้ช่วยทูตฝ่ายทหาร รวมถึงผู้แทนกองทัพต่างประเทศต่างๆ เพื่อรับฟังคำชี้แจงและทราบข้อเท็จจริงในเร็วๆ นี้”พลเรือตรีสุรสันต์กล่าว
ด้านนางมาระตี นะลิตา อันดาโม รองอธิบดีกรมสารนิเทศและรองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ในฐานะโฆษก ศบ.ทก. ด้านต่างประเทศกล่าวเพิ่มเติมว่า ที่ประชุมศบ.ทก. ได้รับการยืนยันจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่า ทุ่นระเบิดที่ได้พบไม่มีการใช้และไม่อยู่ในคลังอาวุธของไทย เป็นทุ่นระเบิดที่วางใหม่ ฝ่ายความมั่นคงสรุปว่า เป็นการวางทุ่นระเบิดของฝ่ายกัมพูชา เป็นการระเบิดกฎหมายระหว่างประเทศอย่างร้ายแรง
นางมาระตีกล่าวว่า กระทรวงการต่างประเทศขอย้ำว่า รัฐบาลไทยขอประณามอย่างรุนแรงที่สุดต่อการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลโดยฝ่ายกัมพูชา ซึ่งเป็นการละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทย เป็นการกระทำที่ขัดต่อหลักการพื้นฐานที่สำคัญของกฎหมายระหว่างประเทศที่กำหนดไว้ในกฎบัตรสหประชาชาติ อีกทั้งเป็นการกระทำที่ละเมิดพันธะกรณีภายใต้อนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคล อนุสัญญาออตตาวาอย่างชัดเจน ประกอบด้วย 1.การมีอยู่ของทุ่นระเบิด และ 2.การวาง ซึ่งเป็นการนำไปใช้ในทางที่ผิด
“ดังนั้น เพื่อรักษาท่าทีและผลประโยชน์ของไทยในเวทีระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศจะดำเนินการ ดังนี้ ประการแรก กระทรวงการต่างประเทศจะประท้วงอย่างเป็นทางการเป็นลายลักษณ์อักษรไปยังฝ่ายกัมพูชา และดำเนินการตามกระบวนการอนุสัญญาออตตาวา ตามพันธะกรณีของไทยที่เป็นรัฐภาคีที่มีความรับผิดชอบต่อประชาคมระหว่างประเทศ ที่ต้องแจ้งการละเมิดอนุสัญญาออตตาวาต่อประธานการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญา คือ ญี่ปุ่น เพื่อให้กัมพูชารับผิดชอบ ประการที่สอง กระทรวงการต่างประเทศจะชี้แจงข้อเท็จจริงให้มิตรประเทศและองค์การระหว่างประเทศรับทราบ โดยเฉพาะกลุ่มประเทศที่มีบทบาทสำคัญต่อภารกิจด้านการเก็บกู้วัตถุระเบิด เช่น ญี่ปุ่น และนอร์เวย์”นางมาระตีกล่าว

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา