
'กัมพูชา' พาทูตทหาร 13 ชาติ-นักข่าวต่างชาติลงพื้นที่ปราสาทตาอม อ้างไทยทำลายอนุสาวรีย์ตาอม ขณะฝ่าย กต.ไทยยืนยันไม่กังวลท่าทีกัมพูชานำทูต แต่กัมพูชาควรกังวลมากกว่าเพราะเป็นฝ่ายละเมิดข้อตกลงหยุดยิงก่อน คาด 1 ส.ค.นี้ ฝ่ายไทยจะพาทูตทหาร-ผู้สังเกตุการณ์นานาชาติลงพื้นที่บ้าง-เตรียมประสานทูตไทยในต่างแดนชี้แจงข้อมูลที่ถูกต้อง
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานข่าวกรณีที่กัมพูชาได้เชิญคณะทูตและผู้ช่วยทูตทหารจาก 13 ประเทศ พร้อมด้วยนักข่าวต่างประเทศ ลงพื้นที่ที่อนุสาวรีย์ตาอม ซึ่งพลเอกฮุน มาเนต เคยสร้างขึ้นโดยละเมิดบันทึกความเข้าใจปี 2543 (MoU2543) บริเวณจุดผ่อนปรนช่องอานม้า (หรือที่กัมพูชาอ้างว่าเป็นช่องอานแซะ) เพื่อให้ตรวจสอบซากปรักหักพังจากการสู้รบ ภายหลังการหยุดยิง
ในการลงพื้นที่ครั้งนี้ ทางการกัมพูชายังได้กล่าวหาฝ่ายไทยเป็นผู้ทำลายอนุสาวรีย์ตาอมดังกล่าว
โดยรายงานของสื่อกัมพูชา คณะผู้แทนประกอบด้วยทูตและผู้ช่วยทูตทหารจากประเทศต่างๆ และประเทศสมาชิกอาเซียนรวม 13 ประเทศ ได้เข้าตรวจสอบสถานการณ์จริงในพื้นที่บริเวณจุดผ่อนปรนช่องอานม้า จ.อุบลราชธานี หรือ ช่องอานแซะ จ.พระวิหาร โดยมีผู้เข้าร่วมจาก สหรัฐอเมริกา, จีน, ญี่ปุ่น, รัสเซีย, เกาหลี, ออสเตรเลีย, รวมถึงประเทศสมาชิกอาเซียน ได้แก่ มาเลเซีย, อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์, สิงคโปร์, ลาว, เวียดนาม และเมียนมา
ทั้งนี้ ทางการกัมพูชาระบุว่า การเชิญคณะผู้แทนทูตทหารจาก 13 ประเทศลงพื้นที่ครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อแสดงให้นานาชาติเห็นว่ากัมพูชาได้ปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิง ซึ่งมีผลบังคับใช้มาตั้งแต่เที่ยงคืนที่ผ่านมา พร้อมทั้งย้ำว่ากองทัพกัมพูชาได้ปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิง และเคารพเงื่อนไขต่างๆ อย่างเคร่งครัด
ทั้งนี้ระหว่างที่ ผู้ช่วยทูตทหาร หลายประเทศ ลงพื้นที่ชายแดน ตามคำเชิญของทางการกัมพูชา ผู้บัญชาการทหารกัมพูชา ได้แจ้งต่อผู้ช่วยทูตทหารและนักการทูตต่างประเทศจำนวน 13 รายว่า กองทัพไทยได้ควบคุมตัวทหารกัมพูชาจำนวน 20 นายหลังจากมีการประกาศข้อตกลงหยุดยิง
ขณะที่ฝ่ายกระทรวงต่างประเทศไทย โดยนายนิกรเดช พลางกูร โฆษกกระทรวงต่างประเทศได้ให้สัมภาษณ์ตอบโต้กรณีที่การที่ทางฝ่ายกัมพูชานำคณะผู้แทนต่างชาติลงพื้นที่ว่าส่วนตัวแล้วไม่กังวลกับท่าทีของกัมพูชา และคิดว่ากัมพูชาควรเป็นฝ่ายกังวลมากกว่า ถ้าผู้ที่สังเกตุการณ์มีความละเอียดและตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างรอบด้าน อย่างไรก็ตามทางกระทรวงต่างประเทศก็จะมีการประสานส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเพื่อจะนำเหล่าทูตทหารลงพื้นที่เหมือนกัน
โฆษกกระทรวงการต่างประเทศกล่าวว่าส่วนสาเหตุว่าทำไมลงพื้นที่ช้า ก็เนื่องมาจากว่าเราคาดไม่ได้ว่ากัมพูชาจะละเมิดข้อตกลงหยุดยิงเมื่อไร แล้วมีประเด็นเรื่องความปลอดภัยของคณะผู้ช่วยทูตด้วย แต่อย่างไรก็ตามเราคาดว่าในวันที่ 1 ส.ค.นี้น่าจะนำคณะผู้ช่วยทูตทหารจากประเทศต่างๆ กลุ่มผู้สังเกตุการณ์ รวมไปถึงสื่อมวลชนลงพื้นที่ได้ เพื่อจะได้ไปเห็นถึงกรณีการทำร้ายประชาชนที่เกิดขึ้นจริง
สำนักข่าวอิศรารายงานเพิ่มเติมว่านายนิกรเดชยังได้แถลงข่าวตอบโต้กัมพูชาในประเด็นอื่นๆที่เกี่ยวข้องอีก 4 ประเด็นได้แก่
1.การดำเนินการต่อการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงของกัมพูชา ซึ่งข้อตกลงนี้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ เที่ยงคืน ของวันที่ 28 ก.ค.68 ที่ผ่านมา จนถึงช่วงเช้าของวันนี้(30 ก.ค.68) ซึ่งไทยมีหลักฐานที่ชัดเจน ว่าฝั่งกัมพูชาได้ละเมิดข้อตกลงหยุดยิงในจำนวนหลายครั้งและในหลายพื้นที่ เช่นการยิงปืนเล็ก หรือยิงระเบิดเข้ามาในเขตดินแดนของไทย และหารเพิ่มกำลังพลเข้ามาในพื้นที่ ซึ่งเรื่องนี้ไทยไม่ได้นิ่งนอนใจ และได้ส่งหนังสือแจ้งเรื่องการละเมิดไปยังมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน รวมไปถึงสหรัฐอเมริกา และจีน และมีหนังสือไปถึงเลขาธิการสหประชาชาติแล้วเมื่อวานนี้ โดยไทยยังยึดมั่นว่าทำตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด และมุ่งแก้ไขปัญหาโดยสันติวิธี เราไม่เคยละเมิดเลยแม้แต่ครั้งเดียวเพราะเรา รักษาคำพูด แต่เราก็ยังเห็นฝั่งกัมพูชาละเมิดกฎอยู่บ่อยครั้ง ไทยจึงขอเรียกร้องให้กัมพูชายุติการละเมิดการหยุดยิงและทำตามข้อปฏิบัติ
2.กดดันให้ฝ่ายไทยดูแลแรงงานกัมพูชา สำหรับเรื่องนี้เอง กระทรวงแรงงานและอาชีวศึกษากัมพูชา ออกแถลงการณ์ห่วงใยและกังวลเกี่ยวกับการคุกคาม การทำร้าย แรงงานชาวกัมพูชาในประเทศไทย รวมทั้งเรียกร้องให้ผู้ประกอบการที่นำสินค้านำเข้าและผู้บริโภคที่ซื้อสินค้าจากไทยร่วมกดดัน ให้มีการประกันงานแบบมีคุณภาพและไม่เลือกปฏิบัติต่อแรงงานกัมพูชา กระทรวงขอยืนยันว่า เราเคารพในสิทธิของแรงงานต่างด้าวจากทุกประเทศ และได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมและเป็นธรรม
3.การบิดเบือนข้อมูลข่าวสารของกัมพูชา ซึงจุดนี้ไทยรู้สึกผิดหวังมากที่สุด ที่มีการเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นเท็จ โดยเฉพาะการสื่อสารผ่านกระทรวงกลาโหมของกัมพูชา ที่มีเป้าหมายในการปกปิดความจริง และยังทำลายความน่าเชื่อถือของไทย ทั้งนี้การที่กัมพูชายังโจมตีไทยซึ่งถือว่าละเมิดข้อตกลง และยังไม่บอกข้อมูลว่าตัวเองเป็นฝ่ายถูกและเป็นฝ่ายถูกกระทำนั้น เป็นการบิดเบือนข้อมูล สะท้อนให้เห็นถึงความไม่จริงใจ การกระทำแบบนี้จะทำให้การสร้างความสัมพันธ์ให้กลับมาดีเหมือนเดิมเป็นไปได้ยาก
4.บทบาทของเอกอัครราชทูต สถานกงสุลใหญ่ สำหรับไทยที่มีการออกมาชี้แจงปมปะทะชายแดน ไทย-กัมพูชา สำหรับเอกอัครราชทูต สถานกงสุลใหญ่ของไทย กำลังดำเนินการชี้แจงข้อเท็จจริง ที่ผ่านมา ได้รับข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องและไม่บิดเบือน

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา