
โฆษกศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา แถลง สถานการณ์ภาพรวมสงบ เป็นการตรึงกำลังของทั้งสองฝ่าย แต่ยังพบโดรนกัมพูชาบิน เผย ทหารกัมพูชา 20 นาย ยอมจำนน เพราะกระสุนหมด เร่งตั้ง One Stop Service โต้ ข่าวบิดเบือน ก.กลาโหม เตรียมนำคณะผู้ช่วยทูตทหาร-คณะทูตต่างประเทศประจำประเทศไทย สื่อไทย-ต่างประเทศ ลงพื้นที่ 1 ส.ค. ชี้แจงข้อเท็จจริง-ผลกระทบจากการโจมตีของฝ่ายกัมพูชา ก.มหาดไทย เผย ตัวเลขผู้อพยพ ทะลุ 2 แสนครัวเรือน - 8 แสนคน ให้ผู้ว่าฯ-ฝ่ายความมั่นคง พิจารณากลับภูมิลำเนา
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า วันที่ 31 กรกฎาคม 2568 ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล พล.ร.ต.สุรสันต์ คงสิริ รองโฆษกกองบัญชาการกองทัพไทย ในฐานะโฆษกศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.) ด้านความมั่นคง แถลผลการประชุม ศบ.ทก.ว่า ปัจจุบันสถานการณ์โดยรวมเป็นการตรึงกำลังของทั้งสองฝ่าย และพบการใช้อากาศยานไร้คนขับ หรือ โดรน ของฝ่ายกัมพูชา อย่างไรก็ดีโดยรวมแล้วอยู่ในสภาวะสงบ
@ ผุด One Stop Service โต้ ข่าวบิดเบือน
“ขณะที่กรณีการควบคุมตัวทหารกัมพูชา 20 นาย ในพื้นที่ช่องซำแต อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ กันภายหลังยอมจำนน เพราะกระสุนหมด โดยได้ส่งตัวไปดำเนินคดีตามกฎหมายข้อหากระทำผิดฐานเข้าเมืองโดยไม่ได้รับอนุญาต หรือ อยู่ในราชอาณาจักรโดยผิดกฎหมาย ส่วนทหารกัมพูชาที่ได้รับบาดเจ็บ 2 นาย ได้ส่งตัวไปรักษาพยาบาลที่โรงพยาบาลค่ายวีรวัฒน์โยธิน จังหวัดสุรินทร์”พล.ร.ต.สุรสันต์กล่าว
รายงานข่าวเพิ่มเติมว่า ก่อนหน้านี้ กัมพูชาได้ให้ข้อมูลกับผู้สังเกตการณ์จากต่างประเทศขณะลงพื้นที่ฝั่งกัมพูชาว่า ทหารกัมพูชาโดนจับตัว โดยทหารไทยใช้ปืนจ่อหัว

พล.ร.ต.สุรสันต์กล่าวว่า สำหรับการเข้ามาสังเกตการณ์ของพล.อ.ดาโต๊ะ โมฮัมหมัด นิซัม จาฟฟาร์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุดมาเลเซีย เพื่อพบหารือกับฝ่ายไทยและกัมพูชา ในส่วนของไทย คือ แม่ทัพภาคที่ 1 และแม่ทัพภาคที่ 2 เพื่อรับทราบข้อเท็จจริงต่อสถานการณ์ชายแดนไทยกับกัมพูชา เมื่อวันที่ 29 และ 30 ก.ค.68 ตามข้อหยุดยิงที่ทั้งสองฝ่ายได้ให้ไว้ ซึ่งฝ่ายไทยได้ชี้แจงว่า ได้ใช้ความอดทนอดกลั้นและประท้วงการละเมิดข้อตกลงของกัมพูชา แต่กัมพูชาใช้การวางกำลังทหารและทุ่นระเบิดในพื้นที่พิพาท ซึ่งเป็นการละเมิดอนุสัญญาออตตาวา และใช้มวลชนมาแสดงออกเชิงสัญลักษณ์เพื่อปลุกปั่น ยั่วยุในพื้นที่ปราสาทตาเมือนธม ทำให้เกิดสถานการณ์ตรึงเครียด จนทำให้ทหารไทยจึงจำเป็นต้องตอบโต้เพื่อรักษาอธิปไตยและความปลอดภัยของประชาชน
พล.ร.ต.สุรสันต์กล่าวว่า ศบ.ทก.เร่งบูรณาการด้านการสื่อสารและการให้ข้อมูลกับสื่อมวลชนทั้งไทยและต่างประเทศอย่างเบ็ดเสร็จ ครบถ้วน ภายใต้รูปแบบ One Stop Service เพื่อลดการเข้าใจที่คลาดเคลื่อน และป้องกันการบิดเบือนข่าวสารจากฝ่ายตรงข้าม คาดว่าภายใน 1-2 วันจะเห็นเป็นรูปธรรม
@ พาคณะผู้ช่วยทหาร-ทูต สื่อไทย-เทศ ลงพื้นที่ 1 ส.ค.

ด้านนางมาระตี นะลิตา อันดาโม รองอธิบดีกรมสารนิเทศ ในฐานะ โฆษก ศบ.ทก. ด้านต่างประเทศ แถลงว่า แถลงว่า ในวันพรุ่งนี้ (1 ส.ค.68) กระทรวงกลาโหมจะนำผู้ช่วยทูตทหารและคณะทูตต่างประเทศประจำประเทศไทย รวมทั้งสื่อมวลชนทั้งไทยและสื่อมวลชนจากต่างประเทศ 22 สำนักงาน 38 คน สังเกตการณ์ รวมถึงผลกระทบจากการปะทะในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา เพื่อให้ข้อเท็จจริงให้รับทราบและเผยแพร่ต่อไปอย่างกว้างขวางในต่างประเทศ ทั้งนี้ การรอเวลา เนื่องจากไทยต้องคำนึงถึงความปลอดภัย เพราะไทยไม่ได้เป็นผู้โจมตีก่อน จึงไม่สามารถทราบล่วงหน้าได้ว่าปลอดภัย จึงเป็นสาเหตุที่ต้องรอเวลาให้แน่ใจว่าปลอดภัยเสียก่อน
“การลงพื้นที่ในครั้งนี้ ฝ่ายไทยจะไม่สร้างภาพลวง จะไม่ให้ข่าวบิดเบือน กล่าวหาว่า ฝ่ายกัมพูชาลักพาตัวทหารไทยแบบที่ฝ่ายกัมพูชาได้กล่าวหาไทย แต่จะเน้นสื่อสารเชิงคุณภาพสะท้อนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ถึงความเสียหายต่อบ้านเรือนประชาชน โรงพยาบาล โรงเรียน สถานที่สาธารณะที่ฝ่ายกัมพูชาเป็นฝ่ายเริ่มต้นก่อน และโจมตีเป้าหมายที่ไม่ใช่ทางการทหาร เป็นการละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ ละเมิดหลักการมนุษยชน และละเมิดอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก ทำให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก รวมถึงมีผู้บริสุทธิ์อพยพไปศูนย์พักพิงนับแสนคน”นางมาระตีกล่าว

นายชำนาญวิทย์ เตรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย แถลงว่า ในส่วนของความเสียหาย ณ วันที่ 30 ก.ค.68 มีประชาชนได้รับผลกระทบ 7 จังหวัด 42 อำเภอ 321 ตำบล 3,884 หมู่บ้าน รวมทั้งสิ้น 278,506 ครัวเรือน 839,935 คน มีผู้เสียชีวิต 16 ผู้บาดเจ็บ 38 ราย มีการประกาศเป็นพื้นที่ภัยพิบัติ 7 จังหวัด 36 อำเภอ 238 ตำบล 2,702 หมู่บ้าน ทั้งนี้ ปัจจุบันมีศูนย์พักพิง จำนวน 733 ศูนย์ ผู้อาศัย 187,974 คน ซึ่งได้มอบหมายให้ผู้ว่าราชการจังหวัดประสานกับหน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่พิจารณาการกลับภูมิลำเนา

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา