
ศาลรัฐธรรมนูญ สั่ง 'พิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน' สิ้นสุดสภาพ สส.-ตัดสิทธิ์สมัครรับเลือกตั้ง 10 ปี เจตนาแปรงบประมาณปี 2569 ลงพื้นที่
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ 1 ส.ค. 2568 ศาลรัฐธรรมนูญนัดฟังคำวินิจฉัย กรณีนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่หนึ่ง และสส.เชียงราย เขต 7 พรรคเพื่อไทย (ผู้ถูกร้อง) เป็นผู้ให้ความเห็นชอบการจัดทำโครงการและให้มีการเสนองบประมาณของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร จำนวน 3 โครงการ ที่ผู้ถูกร้องมีส่วนโดยทางตรงและทางอ้อมในการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปิ้งบประมาณ พ.ศ. 2568
ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ผู้ถูกร้องมีเจตนานำงบประมาณรายจ่ายแผ่นดินไปสร้างคะแนนนิยมในเขตเลือกตั้งของผู้ถูกร้อง อันจะทำให้พรรคการเมืองของผู้ถูกร้องจะได้รับคะแนนนิยมในครั้งต่อไป ผู้ถูกร้องจึงเป็นผู้กระทำการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ สั่งให้ผู้ถูกร้องสิ้นสุดสภาพ สส. ตั้งแต่ 1 ส.ค. 2568 เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของผู้ถูกร้อง 10 ปี นับตั้งแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย และให้มีการเลือกตั้งใหม่ภายใน 45 วัน
กรณีนี้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) เสนอความเห็นตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสาม เพื่อขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยว่า การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 และร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 มีการเสนอ การแปรญัตติ หรือการกระทำด้วยประการใด ๆ ที่มีผลให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา หรือกรรมาธิการ มีส่วนไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมในการใช้งบประมาณรายจ่าย ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 144 วรรคสอง หรือไม่ (เรื่องพิจารณาที่ 17/2568)
สืบเนื่องจากนายภัณฑิล น่วมเจิม และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร รวม 121 คน (ผู้ร้อง) ซึ่งมีจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในสิบของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร ยืนคำร้องเสนอความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสาม กรณีนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่หนึ่ง (ผู้ถกร้อง) เป็นผู้ให้ความเห็นชอบการจัดทำโครงการและให้มีการเสนองบประมาณของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร จำนวน 3 โครงการ ที่ผู้ถูกร้องมีส่วนโดยทางตรงและทางอ้อมในการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568
และในกรณีที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรมีคำขอเสนอโครงการทั้ง 3 โครงการดังกล่าวอีกครั้ง ในงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2569 เป็นการเสนอของบประมาณด้วยโครงการที่มีรูปแบบเดียวกันและต่อเนื่องกับงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ที่ผู้ถูกร้องมีส่วนในการเสนอ การแปรญัตติ หรือการกระทำใด ๆ ที่มีส่วนไม่ว่าโดยทางตรงและทางอ้อมในการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 อันเป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติรัฐธรรรมญ มาตรา 144 วรรคสอง
ทั้งนี้โครงการทั้ง 3 โครงการ ได้แก่
- การพัฒนาศักยภาพประชาชนและเยาวชนการปกครองระบอบประชาธิปไตย
- โครงการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นระบบ
- ของการเสริมบทบาทสตรีในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
มีรายละเอียดผลการวินิจฉัย ดังนี้
ศาลรัฐธรรมนูญประชุมปรึกษาหารือร่วมกันแล้วเห็นว่า กรณีสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรขอถอนโครงการออกจากงบประมาณรายจ่ายประจำปิ๊งปึงประมาณ พ.ศ. 2569 ศาลรัฐธธธรรมนูญต้องจำหน่ายคดีเพราะไม่มีเหตุที่ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยคดีต่อไป หรือไม่ ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์มีคำสั่งไม่จำหน่ายคดี เพราะมีเหตุที่ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยคดีต่อไป
ประเด็นที่หนึ่ง ผู้ถูกร้องมีส่วนในการเสนอ การแปรญัตติ หรือการกระทำด้วยประการใด ๆ ในโครงการทั้งสาม หรือไม่ ศาลรัฐธธรรมนูญมีมติ โดยเสียงข้างมาก (5 ต่อ 4) วินิจฉัยว่า ผู้ถูกร้องมีส่วนในการเสนอ การแปรญัตติ หรือการกระทำด้วยประการใด ๆ ในโครงการทั้งสาม
ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างมาก จำนวน 5 คน คือ นายปัญญา อุดชาชน นายวิรุหห์ แสงเทียน นายจิรนิติ หะวานนท์ นายนกดล เทพพิทักษ์ และนายสุเมธ รอยกุลเจริญ
ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างน้อย จำนวน 4 คน คือ นายนครินทร์ เมฆไตรรัตน์ นายอุดม สิทธิ์วิรัชธรรม นายบรรจงศักดิ์ วงศ์ปราชญ์ และนายอุดม รัฐอมฤต เห็นว่า การให้ความเห็นชอบให้เสนอคำแปรญัตติของผู้ถูกร้องเป็นการกระทำของผู้ถูกร้องในฐานะที่เป็นรองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่หนึ่ง มิใช่ในฐานะเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
ประเด็นที่สอง มีการเสนอ การแปรญัตติ หรือการกระทำด้วยประการใด ๆ ที่มีผลให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา หรือกรรมาธิการ มีส่วนไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมในการใช้งบประมาณรายจ่าย อันเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนรัฐธธรรมนูญ มาตรา 148 วรรคสอง และให้การเสนอ การแปรญัตติ หรือการกระทำดังกล่าวเป็นอันสิ้นผล หรือไม่ หากผู้ถูกร้องเป็นผู้กระทำการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสอง จะทำให้สมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของผู้ถูกร้องสิ้นสุดลงนับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย และจะถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งตามมาตรา 148 วรรคสาม หรือไม่ เพียงใด
ศาลรัฐธรรมนูญมีมติโดยเสียงข้างมาก (6 ต่อ 3) วินิจฉัยว่า มีการเสนอการแปรญัตติ หรือการกระทำด้วยประการใด ๆ ที่มีผลให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา หรือกรรมาธิการ มีส่วนไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมในการใช้งบประมาณรายจ่าย อันเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนรัฐธธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสอง และให้การเสนอการแปรญัตติหรือการกระทำด้วยประการใด ๆ เกี่ยวกับโครงการเยาวชน โครงการประชาชน และโครงการสตรี ในงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ ท.ศ. 2569 เป็นอันสิ้นผล
และวินิจฉัยว่า สมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของผู้ถูกร้องสิ้นสุดลงนับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย คือ วันที่ 1 สิงหาคม 256868 และให้ถือว่าวันที่ศาลรัฐธรรมนูญอ่านคำวินิจฉัยให้แก่คู่กรณีฟังโดยชอบตามตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 76 วรรคหนึ่ง เป็นวันที่ตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้งว่างลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 105 วรรคหนึ่ง (1) ประกอบมาตรา 102 และให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของผู้ถูกร้องมีกำหนดเวลา 10 ปี นับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย
ตุลาการศาลรัฐธรรมญเสียงข้างมาก จำนวน 6 คน คือ นายปัญญา อุดชาชน นายวิรพท์ แสงเทียน นายจิรนิติ หะวานนท์ นายนภดล เทพพิทักษ์ นายบรรจงศักดิ์ วงศ์ปราชญ์ และนายสุเมธ รอยกุลเจริญ
ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างน้อย จำนวน 3 คน คือ นายนครินทร์ เมฆไตรรัตน์ นายอุดม สิทธิวิรัชธรรม และนายอดม รัฐอมฤต เห็นว่า การกระทำของผู้ถูกร้องไม่เข้าข่ายเป็นการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสอง สมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของผู้ถูกร้องจึงไม่สิ้นสุดลง

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา