
ภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการนายกฯ เป็นประธานการชุมคณะกรรมการคดีพิเศษ พิจารณาลงมติรับ-ไม่รับไว้เป็นคดีพิเศษ คดีขบวนการหลอกลวงเรียกเงินนายจ้าง-แรงงานกัมพูชา เข้าข่ายความผิดทางอาญา ฐานอั้งยี่-ฉ้อโกง สะพัด โยงอดีตรัฐมนตรีแรงงาน
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า วันที่ 15 สิงหาคม 2568 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย ในฐานะรักษาการนายกรัฐมนตรี จะเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) ครั้งที่ 4/2568 โดยมีพันตำรวจตรี ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) เป็นกรรมการและเลขานุการ มีวาระพิจารณากรณีขบวนการหลอกลวงเรียกเงินหัวคิวแรงงานกัมพูชา เพื่อรับไว้เป็นคดีพิเศษ เพื่อดำเนินคดีความผิดทางอาญา ฐานกระทำความผิดเป็นอั้งยี่ ฉ้อโกง ซึ่งครั้งนี้จะถือเป็นครั้งแรกที่คณะกรรมการ กคพ.มาประชุมที่ทำเนียบรัฐบาล และคาดว่าจะเป็นครั้งที่สองที่นายภูมิธรรมจะออกมาแถลงข่าวภายหลังการประชุมเสร็จสิ้น เหมือนเมื่อครั้งรับคดีฮั้วเลือกสมาชิกวุฒิสภา (สว.) เป็นคดีพิเศษ
รายงานข่าวเพิ่มเติมว่า สืบเนื่องจากปรากฎข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานที่ได้จากการสืบสวนเบื้องต้นมีความเชื่อมโยงกับอดีตรัฐมนตรีแรงงาน โดยพบว่า มีการกระทำความผิดทางอาญาฐานอั้งยี่และฉ้อโกง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 209 และมาตรา 341 โดยพฤติการณ์แห่งคดีเชื่อว่าได้มีการกระทำในลักษณะเป็นขบวนการที่สมคบคิดกันทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ (สัญชาติกัมพูชา) มีการวางแผนเป็นขั้นตอน ปกปิดวิธีดำเนินการและแบ่งหน้าที่กันทำเพื่อร่วมกันหลอกลวงและเรียกรับเงินจากนายจ้างและแรงงานต่างด้าวที่ประสงค์จะต่อใบอนุญาตทำงานในประเทศไทย ตามมติ ครม. เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2567 อันเป็นการกระทำที่มิชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากไม่มีสิทธิที่จะเรียกรับเงินดังกล่าว
รายงานข่าวระบุอีกว่า นอกจากนี้ยังพบว่ามีผู้เสียหายที่เป็นนายจ้างและแรงงานต่างด้าวชาวกัมพูชาที่ถูกหลอกลวงและเสียเงินให้กับกลุ่มขบวนการดังกล่าวเป็นจำนวนมาก ซึ่งการกระทำความผิดทางอาญาดังกล่าวมีลักษณะซับซ้อน มีผู้ร่วมกระทำความผิดทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ จำเป็นต้องใช้วิธีการสืบสวนสอบสวนและรวบรวมพยานหลักฐานเป็นพิเศษ
ประกอบกับในคดีนี้เชื่อว่ามีมูลค่าความเสียหายหลายร้อยล้านบาท ซึ่งมีหรืออาจมีผลกระทบอย่างรุนแรงต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศและกระทบถึงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยและกัมพูชา อันเข้าลักษณะการกระทำความผิดอย่างหนึ่งอย่างใดตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 มาตรา 21 วรรคหนึ่ง (1) (ก) และ (ข) จึงเห็นควรเสนอ กคพ. เพื่อมีมติด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสองในสามของกรรมการทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ หรือ 15 เสียง จากกรรมการกคพ.ทั้งหมด 22 คน ให้รับกรณีดังกล่าวเป็นคดีพิเศษ ตามมาตรา 21 วรรคหนึ่ง (2)


Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา