ครม.ไฟเขียวร่างมาตรการพิสูจน์สิทธิ ‘วัด’ ครอบครอง‘ที่ดิน’ใน ‘เขตที่ดินของรัฐ’ กำหนดแนวทางพิสูจน์สิทธิฯเป็น ‘ระบบ-มีขั้นตอนชัดเจน’ หวังลดข้อข้อแย้งการออกโฉนด เพื่อเป็น ‘ธรณีสงฆ์’
.......................................
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 5 ส.ค.ที่ผ่านมา ครม. มีมติเห็นชอบร่างมาตรการของคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ เรื่อง การพิสูจน์สิทธิการครอบครองที่ดินของวัดในเขตที่ดินของรัฐ ตามที่คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ เสนอ พร้อมทั้งให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (สคทช.) นำความคิดเห็นของหน่วยงานต่างๆ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
สำหรับสาระสำคัญของร่างมาตรการของคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ เรื่อง การพิสูจน์สิทธิการครอบครองที่ดินของวัดในเขตที่ดินของรัฐ ประกอบด้วย
1.การพิสูจน์สิทธิการครอบครองที่ดินของวัดในเขตที่ดินของรัฐ ต้องมีพยานหลักฐานที่ทางราชการออกให้ก่อนการประกาศเป็นที่ดินของรัฐว่า วัดได้ครอบครองและทำประโยชน์มาก่อน เช่น ประกาศกรมศิลปากรที่ขึ้นทะเบียนโบราณสถาน หนังสือพระราชทานวิสุงคามสีมา จดหมายเหตุหรือพงศาวดาร ที่ระบุอาณาเขตของวัด
2.หลักฐานที่แสดงการเป็นวัดที่มีฐานะนิติบุคคลตามกฎหมาย เช่น ประกาศการได้รับพระบรมราชานุญาตให้สร้างวัด ตาม พ.ร.บ.ลักษณะปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ.121 หรือประกาศการตั้งวัดของกระทรวงศึกษาธิการ ตาม พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ.2484
สำหรับวัดที่ตั้งขึ้นก่อน พ.ร.บ.ลักษณะปกครองสงฆ์ ร.ศ.121 พ.ร.บ.ปกครองคณะสงฆ์ พ.ศ.2484 ที่ไม่มีหลักฐานให้ตรวจสอบให้ ใช้หนังสือหนังสือรับรองสภาพวัด ทะเบียนวัด หรือประวัติวัด ที่จัดทำโดยกระทรวงศึกษาธิการ หรือสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ หรือรายงานการสำรวจโบราณสถานของกรมศิลปากร
สำหรับวัดที่ตั้งขึ้นตาม พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ.2505 ให้ใช้หลักฐานการประกาศตั้งวัดซึ่งประกาศในราชกิจจานุเบกษาของกระทรวงศึกษาธิการ หรือสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ที่ระบุว่า วัดได้ครอบครองและทำประโยชน์ มาก่อนการเป็นที่ดินของรัฐ การพิสูจน์สิทธิตามมาตรการดังกล่าว
เมื่อคณะอนุกรรมการพิสูจน์สิทธิในที่ดินของรัฐจังหวัด (คพร. จังหวัด) พิจารณาหลักฐานที่เกี่ยวข้องแล้ว และน่าเชื่อว่ามีส่วนสนับสนุนคำกล่าวอ้างว่า วัดได้ครอบครองและทำประโยชน์มาก่อนการเป็นที่ดินของรัฐ คพร.จังหวัด สามารถพิจารณาดำเนินการตามมาตรการของคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติต่อไปได้ โดยไม่ต้องดำเนินการอ่านแปล ภาพถ่ายทางอากาศ
3.หากจำนวนเนื้อที่ที่วัดครอบครองและทำประโยชน์เกินกว่าหลักฐานที่นำรังวัดออกโฉนดที่ดินให้นำพยานหลักฐานอื่นมาประกอบ ดังนี้
(1) รายงานผลการตรวจสอบพระพุทธรูปประจำวัด เสมาธรรมจักร และหลักฐานอื่น ที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนาของวัดที่กรมศิลปากรจัดทำขึ้น
(2) แบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) ที่แสดงว่าวัดได้ครอบครองและ ทำประโยชน์มาก่อนการเป็นที่ดินของรัฐ
(3) หลักฐานการสร้างเสนาสนะหรือสิ่งปลูกสร้างทางพระพุทธศาสนา
(4) ประวัติทำเนียบเจ้าอาวาส ภาพถ่ายในอดีตของการตั้งวัด
(5) พยานบุคคลที่ทราบข้อมูลการทำประโยชน์ในที่ดินของวัด หรือผู้ที่มีภูมิลำเนา อยู่ในพื้นที่ที่ขอพิสูจน์สิทธิหรือใกล้เคียง การพิสูจน์สิทธิตามมาตรการดังกล่าว
ทั้งนี้ หากผลการตรวจสอบฯ คพร. จังหวัด เห็นว่า มีส่วนสนับสนุนคำกล่าวอ้างว่า มีการครอบครอบและทำประโยชน์มาก่อนการเป็นที่ดินของรัฐ ให้ส่งเรื่องให้คณะอนุกรรมการอ่านภาพถ่ายทางอากาศพิจารณาดำเนินการ เพื่อหาร่องรอยการทำประโยชน์ หากปรากฏร่องรอยการทำประโยชน์ในที่ดินที่อยู่ในภาพถ่ายทางอากาศ จึงจะเชื่อตามพยานหลักฐาน
แต่ถ้าไม่ปรากฏร่องรอยการทำประโยชน์ ให้นำรายงานผลการตรวจสอบของหน่วยงานของรัฐ เช่น รายงานผลการตรวจสอบของกรมศิลปากร หรือรายงานการลงพื้นที่ของคณะอนุกรรมการอ่านภาพถ่ายทางอากาศ หรือคณะกรรมการ ที่จังหวัดหรืออำเภอแต่งตั้งมาประกอบการพิจารณา
4.คณะอนุกรรมการพิสูจน์สิทธิในที่ดินของรัฐจังหวัด (คพร. จังหวัด) ได้พิสูจน์สิทธิการครอบครองที่ดินแล้ว และมีมติเชื่อว่า วัดครอบครองและทำประโยชน์มาก่อนการเป็นที่ดินของรัฐ ให้แจ้งผลการพิสูจน์สิทธิให้วัดทราบ ภายใน 30 วันทำการ และแจ้งหน่วยงานของรัฐที่มีอำนาจดูแลรักษาที่ดินของรัฐพิจารณา หากเห็นด้วยกับมติ คพร. จังหวัด ให้แจ้งมหาเถรสมาคมพิจารณา และให้กรมที่ดินดำเนินการออกหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินตามขั้นตอนของประมวลกฎหมายที่ดิน โดยไม่ต้องดำเนินการพิสูจน์สิทธิในรูปคณะกรรมการตามประมวลกฎหมายที่ดินอีก
อย่างไรก็ดี ในส่วนของวัดที่ครอบครองเกินกว่าหลักฐานฯ ให้หน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่ดำเนินการเพิกถอนสถานการณ์เป็นที่ดินของรัฐ แล้วส่งให้กรมที่ดินดำเนินการออกหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินตามประมวลกฎหมายที่ดินต่อไป
ในกรณีที่หน่วยงานของรัฐที่มีอำนาจดูแลรักษาที่ดินของรัฐไม่เห็นด้วยกับมติของ คพร.จังหวัด ให้โต้แย้งสิทธิภายใน 30 วันทำการ และให้หน่วยงานของรัฐแจ้งผลการพิจารณาให้ คพร.จังหวัด ว่า ไม่เห็นด้วยในประเด็นใด เพื่อให้ คพร. จังหวัด มีคำวินิจฉัยให้เป็นที่สิ้นสุด
5.คณะอนุกรรมการพิสูจน์สิทธิในที่ดินของรัฐจังหวัด (คพร. จังหวัด) มีมติน่าเชื่อว่า วัดครอบครองและทำประโยชน์มาภายหลังการเป็นที่ดินของรัฐให้ คพร.จังหวัด แจ้งผลให้วัดทราบ ภายใน 30 วันทำการ และให้วัดขออนุญาตใช้ที่ดินในเขตที่ดินของรัฐตามกฎหมายและระเบียบของหน่วยงานนั้นๆ
“ร่างมาตรการดังกล่าวมีวัตถุประสงค์ เพื่อแก้ไขปัญหาวัดที่ครอบครองและทำประโยชน์มาก่อนการประกาศให้พื้นที่นั้นเป็นที่ดินของรัฐ สามารถพิสูจน์สิทธิได้อย่างเป็นธรรม และจัดระเบียบการใช้ประโยชน์ที่ดินของวัดให้ถูกต้องตามกฎหมาย ลดข้อขัดแย้งกับหน่วยงานของรัฐ รวมทั้งคุ้มครองและสนับสนุนบทบาทของวัดในฐานะศูนย์กลางศาสนาและจิตใจของประชาชน หากจะแก้ไขปัญหา โดยใช้มาตรการของคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ
ในการพิสูจน์สิทธิการครอบครองที่ดินของบุคคลในเขตที่ดินของรัฐ ย่อมแตกต่างจากการพิสูจน์สิทธิของบุคคลทั่วไป ตามการปฏิบัติธรรมของสงฆ์ จึงเห็นควรกำหนดมาตรการพิสูจน์สิทธิการครอบครองที่ดินของวัดในเขตที่ดินของรัฐ อย่างเป็นระบบ มีขั้นตอนที่ชัดเจน และสามารถนำไปสู่การออกเอกสารสิทธิประเภทโฉนดที่ดินเพื่อธรณีสงฆ์ โดยไม่กระทบต่อการควบคุมดูแลที่ดินของรัฐในภาพรวม” สคทช. ระบุ
รายงานข่าวแจ้งว่า ก่อนหน้านี้ สคทช. ได้รับเรื่องร้องเรียนจากคณะกรรมาธิการ การศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร เกี่ยวกับวัดหลายแห่งทั่วประเทศที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ ซึ่งต่อมาได้ถูกประกาศให้เป็นเขตที่ดินของรัฐ อาทิ ป่าสงวนแห่งชาติ อุทยานแห่งชาติหรือเขตป่าอนุรักษ์ โดยวัดเหล่านี้ได้ตั้งขึ้นเพื่อประกอบกิจกรรมทางพระพุทธศาสนามาเป็นระยะเวลานาน มีประชาชนเข้ามาร่วมทำบุญตักบาตร ปฏิบัติธรรม และใช้เป็นศูนย์กลางจิตใจของชุมชนอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม วัดเหล่านี้ส่วนใหญ่ไม่มีเอกสารสิทธิในที่ดิน เนื่องจากเมื่อมีการประกาศพื้นที่เป็นที่ดินของรัฐแล้ว ไม่สามารถดำเนินการออกเอกสารสิทธิได้ตามขั้นตอนปกติ ทำให้เกิดข้อจำกัดทั้งด้านการใช้ประโยชน์ การพัฒนา การปกป้องสิทธิของวัด และเกิดข้อพิพาทกับหน่วยงานของรัฐที่ดูแลรักษาพื้นที่
จากการลงพื้นที่ศึกษาข้อเท็จจริงดังกล่าว หากจะแก้ไขปัญหาโดยใช้มาตรการการพิสูจน์สิทธิการครอบครองที่ดินของบุคคลในเขตที่ดินของรัฐ โดยใช้วิธีการตรวจสอบร่องรอยการทำประโยชน์ ในภาพถ่ายทางอากาศออร์โธสี มาตราส่วน 1 : 4000 ปี พ.ศ.2555 หรือ พ.ศ.2556 หรือพยานหลักฐานอื่นที่ใช้ประกอบรวม
แต่เนื่องจากพระสงฆ์ธรรมยุตินิกายเป็นพระสงฆ์ ที่จาริกปฏิบัติธรรม ตามป่าเขา ถ้ำ หรือ เพิ่งหิน แสวงหาความสงบเงียบในการปฏิบัติธรรม จึงไม่ปรากฏร่องรอยการทำประโยชน์ หรือสิ่งก่อสร้างในแผนที่ภาพถ่ายทางอากาศของกรมแผนที่ทหารแต่อย่างใด ซึ่งควรจะต้องกำหนดแนวทางมาตรการเงื่อนไขการพิสูจน์สิทธิในรูปแบบที่เหมาะสมในการพิสูจน์สิทธิให้กับวัด
หลังจากนั้น สคทช. ได้มีคำสั่ง ที่ 582/2566 เรื่อง แต่งตั้งคณะทำงานศึกษาแนวทาง หลักการ วิธีการ และเงื่อนไขการพิสูจน์สิทธิในที่ดินวัด ลงวันที่ 26 ก.ย.2566 มีอำนาจหน้าที่ศึกษาวิเคราะห์ แนวทาง วิธีการ และเงื่อนไขการพิสูจน์สิทธิ เพื่อออกเอกสารสิทธิ์ ในที่ดินให้แก่วัด ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงเพื่อกำหนดแนวทางวิธีการแก้ไขปัญหา เชิญหน่วยงานของรัฐ เอกชน หรือบุคคล เอกสารหลักฐาน ให้ความเห็นต่อคณะทำงานฯ เพื่อประกอบการพิจารณา
และรายงานผลดำเนินการ ให้ผู้อำนวยการ สคทช. สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ นำเรียนกรรมการมหาเถรสมาคม เสนอคณะอนุกรรมการ ภายใต้คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ ก่อนเสนอคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติพิจารณา และมีหนังสือถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อแต่งตั้งผู้แทนเป็นคณะทำงานดังกล่าว
ต่อมา ในการประชุมคณะทำงานศึกษาแนวทาง หลักการ วิธีการ และเงื่อนไขการพิสูจน์สิทธิในที่ดินวัด ครั้งที่ 1/2566 เมื่อวันที่ 1 พ.ย.2566 และครั้งที่ 2/2566 เมื่อวันที่ 26 ธ.ค.2566 ณ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ ที่ประชุมมีมติเห็นชอบมาตรการพิสูจน์สิทธิการครอบครอง ที่ดินวัด ซึ่งเป็นไปตามการปฏิบัติของสงฆ์ในการปฏิบัติธรรม ตามที่ฝ่ายเลขานุการ
กระทั่งต่อมาในการประชุมคณะทำงานศึกษาแนวทาง หลักการ วิธีการ และเงื่อนไขการพิสูจน์สิทธิในที่ดินวัด ครั้งที่ 2/2567 เมื่อวันที่ 29 ก.พ.2567 ที่ประชุมมีมติเห็นชอบ (ร่าง) มาตรการของคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ เรื่อง การพิสูจน์สิทธิการครอบครองที่ดินของวัดในเขตที่ดินของรัฐ และต่อมาคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2567 เมื่อวันที่ 24 ธ.ค.2567 มีมติเห็นชอบ (ร่าง) มาตรการดังกล่าว และให้นำเสนอ ครม. เพื่อพิจารณาดังกล่าว

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา