
นักวิชาการกัมพูชาเชื่อความขัดแย้งไทย-กัมพูชายังไม่ยุติ แม้ไทยมีรัฐบาลใหม่ เหตฝ่ายกองทัพ-อนุรักษ์นิยมไทยยังมีอำนาจ –วิเคราะห์ 2 ฉากทัศน์ กลุ่มอนุรักษ์นิยมจับมือหัวก้าวหน้า หรือประยุทธ์กลับมามีอำนาจอีกรอบ
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานข่าวความเคลื่อนไหวของประเทศกัมพูชา สืบเนื่องจากกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญมีมติ 6 ต่อ 3 สั่งให้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี กรณีมีคลิปเสียงหลุดกับนายฮุน เซน ประธานวุฒิสภา เรื่องปัญหาชายแดน
โดยนายเนก จันดาริธ รองศาสตราจารย์และผู้อำนวยการสถาบันการศึกษาระหว่างประเทศและนโยบายสาธารณะ สถาบันหลวง กรุงพนมเปญ กล่าวว่า การปลด น.ส.แพทองธารออกจากตำแหน่งทำให้ความไม่มั่นคงทางการเมืองของไทยทวีความรุนแรงมากขึ้น และยังกระตุ้นให้เกิดกระแสชาตินิยมท่ามกลางการปะทะกันเมื่อเร็วๆ นี้
“เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ศตวรรษที่ 14 ที่กัมพูชา ได้เป็นตัวเร่งการล่มสลายของระบอบการปกครองไทยโดยอ้อม ซึ่งอาจดับความทะเยอทะยานของตระกูลชินวัตรในการเป็นนายกรัฐมนตรีได้” นายเนกกล่าว
นักวิชาการกัมพูชากล่าวต่อไปว่าผู้ที่ได้รับอานิสงค์จากเหตุดังกล่าวนั้นก็คือ สถาบันทหารอนุรักษ์นิยมซึ่งได้รับกำลังใจจากเรื่องนี้ และ เตรียมที่จะปิดกั้นการลงสมัครของเครือข่ายชินวัตรหรือพันธมิตรอย่างถาวร โดยอาศัยอำนาจตุลาการและกองทัพของไทยในการทำให้พรรคเพื่อไทยตกอยู่ภายใต้อำนาจของพวกเขา
นายจันดาริธกล่าวคาดการณ์ถึงสองสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ก็คือ เป็นไปได้ว่าจะเกิดแนวร่วมผสมระหว่างอนุรักษ์นิยม-ก้าวหน้า หรืออาจจะมีการกลับมาของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรี โดยได้รับการสนับสนุนจากพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ
“ฉากทัศน์แรกอาจจะเป็นเรื่องของการรวมตัวกันระหว่างพรรคอนุรักษ์นิยมและกองทัพ และพรรคก้าวหน้าที่เป็นตัวแทนของผู้มีสิทธิเลือกตั้งสายปฏิรูปปี 2566 มุ่งหวังที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญและจัดการเลือกตั้งก่อนกำหนด” นายจันดาริธกล่าวถึงฉากทัศน์ของการจัดตั้งรัฐบาล และกล่าวต่อไปว่าการเรียกร้องการปฏิรูปประชาธิปไตยที่ก้าวหน้าในระยะยาวอาจช่วยกระตุ้นให้เกิดการเจรจาระหว่างไทยและกัมพูชา แต่ความเปราะบางของกลุ่มพันธมิตรอาจเสี่ยงต่อความไม่มั่นคงอย่างยั่งยืน หากกลุ่มอนุรักษ์นิยมยังคงครอบงำโดยใช้ประเด็นพรมแดนเพื่อรวบรวมเสียงสนับสนุนตัวเอง
นักวิชาการกัมพูชากล่าวต่อไปว่าในทางกลับกัน พลเอกประยุทธ์ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากพลเอกประวิตร อาจกลับมาพร้อมกับความสัมพันธ์ที่มั่นคงกับกัมพูชามากขึ้น ดังจะห็นได้ระหว่างการปกครองประเทศในปี 2557-2566
“ระบอบการปกครองที่เน้นทหารเป็นศูนย์กลางอาจเพิ่มความตึงเครียดในเบื้องต้นเพื่อค้ำจุนอำนาจอีกครั้ง โดยอาจมีการลาดตระเวนตามแนวชายแดนเพื่อจะตอบโต้กับข้อกล่าวหาที่อ้างว่ากัมพูชาเป็นฝ่ายยั่วยุ” นายจันดาริธกล่าวและกล่าวเสริมว่า “แต่ในระยะยาวหลักปฏิบัตินิยมของประยุทธ์อาจช่วยรักษาความสัมพันธ์ให้มั่นคงผ่านความร่วมมือทางเศรษฐกิจ แม้ว่าความไม่สงบภายในประเทศอาจลุกลาม ซึ่งทำให้การทูตมีความซับซ้อนมากขึ้น”
นายจันดาริธ กล่าวว่าข้อพิพาทเรื่องพรมแดนระหว่างกัมพูชาและไทยนั้น ไม่อาจมองได้เพียงแค่ว่าเป็นปัญหาทวิภาคีเท่านั้น แต่ยังถือเป็นจุดชนวนความขัดแย้งระหว่างมหาอำนาจที่กว้างขวางยิ่งขึ้น ซึ่งทำให้ความตึงเครียดทวีความรุนแรงขึ้นอย่างมาก
“ข้อเรียกร้องที่รั่วไหลออกมาจากคลิปเสียง ซึ่งในประเทศไทยมองว่าเป็นการให้เกียรติฮุนเซนของ น.ส.แพทองธาร ได้ถูกตีกรอบโดยกลุ่มชาตินิยมว่าเป็นกัมพูชาที่ฉวยประโยชน์จากความไม่มั่นคงของไทย การรับรู้เช่นนี้อาจเสี่ยงต่อการดึงอำนาจจากอำนาจภายนอกเข้ามาสู่ข้อพิพาทไทยกัมพูชา นำโดยกลุ่มทหารไทยที่อาจแสวงหาการสนับสนุนจากภายนอกเพื่อต่อต้านการกระทำของกัมพูชา” นายจันดาริธกล่าว
นักวิชาการกัมพูชากล่าวว่าสำหรับภายในอาเซียน ข้อพิพาทไทยกัมพูชาดังกล่าวเป็นการทดสอบหลักการไม่แทรกแซงของกลุ่ม โดยอิงจากความเต็มใจของประเทศสมาชิกร่วม เช่น มาเลเซียและฟิลิปปินส์ ซึ่งวิธีการแก้ไขปัญหาชายแดนดังกล่าวมุ่งเน้นที่จะไกล่เกลี่ย
ด้านนายกิน เฟีย ผู้อำนวยการสถาบันความสัมพันธ์ระหว่างประเทศกัมพูชา กล่าวว่า รัฐบาลใหม่ไทยจะไม่คลี่คลายความตึงเครียดบริเวณชายแดนได้ ตราบใดที่ยังมีการแย่งชิงอำนาจระหว่างรัฐบาลพลเรือนไทยกับกองทัพไทย
“ความขัดแย้งจะไม่มีวันบรรเทาลงตราบใดที่ความทะเยอทะยานที่จะรุกรานดินแดนกัมพูชายังคงมีอยู่ในหมู่นักการเมืองชาตินิยมสุดโต่งและบุคลากรทางทหารระดับสูง” นายเฟียกล่าว
เรียบเรียงจาก:https://www.khmertimeskh.com/501749009/hun-sens-prediction-comes-true-but-whats-next-for-thailand

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา