
ศาลพิพากษาจำคุก 72 ปี 6 เดือน อดีต ผอ.โรงเรียนกาฬสินธุ์ปัญญานุกล ส่วนจำเลยอีก 2 คน เจอโทษจำคุก 29 ปี 232 เดือน คดีทุจริตเปลี่ยนระเบียบจัดหาวัตถุดิบทำอาหาร ให้โรงเรียนจัดหาเองแทนที่จ้างเหมาบุคคลภายนอก แต่ปรากฎทางปฏิบัตินำเงินหักหัวคิวเข้าตัวเองก่อนไปจ้างบุคคลภายนอก
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ 11 ก.ย. สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กรณีที่ศาลได้มีคำพิพากษาจำคุก 72 ปี 6 เดือน นายสันติ ฤาไชย อดีตผู้อำนวยการโรงเรียนกาฬสินธุ์ปัญญานุกูล และจำคุกจำเลยรายอื่นในช่วงเวลาลดหลั่นกันไปในคดีทุจริต การจัดซื้อสัถุดิบประกอบอาหาร
โดยนายสันติ จะเข้ามาดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนกาฬสินธุ์ปัญญานุกูล โรงเรียนได้มีการจัดหาอาหารนักเรียน เป็นการจ้างเหมาทำอาหารโดยวิธีตกลงราคากับบุคคลภายนอกในการซื้อวัตถุดิบและประกอบอาหาร โดยดําเนินการตามระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535
แต่ต่อมาเมื่อ นายสันติ ฤาไชย เข้ามา ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนกาฬสินธุ์ปัญญานุกูล ได้สั่งการให้ปรับเปลี่ยนเป็นโรงเรียนเป็นผู้จัดซื้อวัตถุดิบ มาประกอบอาหารเองไม่จ้างเหมาบุคคลภายนอก
เป็นคำสั่งโรงเรียนกาฬสินธุ์ปัญญานุกูล จังหวัดกาฬสินธุ์ ที่ 050/2558 ลงวันที่ 20 มีนาคม 2558 เรื่อง แต่งตั้งบุคลากรปฏิบัติหน้าที่ตามสายงานบริหารโรงเรียน มอบหมายให้นางชุติมา ภูขันสูง ครูชำนาญการ จำเลยที่ 2 หัวหน้างานโภชนาการ เป็นผู้จัดซื้อวัตถุดิบในการประกอบอาหาร และนางวราภรณ์ ดีจรัส จำเลยที่ 3 เป็นผู้จัดทำบันทึกขอยืมเงินและสัญญายืมเงิน
โดยเป็นการทําสัญญาการยืมเงินทดรองราชการพร้อมด้วยประมาณการค่าใช้จ่ายในการจัดซื้อวัตถุดิบเพื่อประกอบอาหารในแต่ละวันยื่นต่อเจ้าหน้าที่การเงิน หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่การเงิน ตรวจสอบความถูกต้อง เสนอผู้อํานวยการโรงเรียนเพื่อพิจารณาอนุมัติเงินทดรองราชการให้เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบเรื่องอาหารนักเรียนการจัดซื้อวัตถุดิบเพื่อประกอบอาหารแต่ละวัน เมื่อครบกําหนดตามสัญญาการยืมเงินต้องรวบรวมใบจัดซื้อวัตถุดิบหลักฐานการจ่ายทั้งหมดพร้อมด้วยเงินสดคงเหลือ (ถ้ามี) เพื่อส่งใช้เงินยืม ภายใน 30 วัน นับแต่วันรับเงิน
แต่ในทางปฏิบัติ จำเลยที่ 1 สั่งการให้ จำเลยที่ 3 เป็นผู้จัดทำบันทึกและสัญญายืมเงิน เมื่อจำเลยที่ 2 ได้ลงนามเอกสารในฐานะผู้ยืมแล้ว จะนำเสนอ จำเลยที่ 1 และนายพันศักดิ์ วงศ์ตะวัน (เสียชีวิต) ตำแหน่งรองผู้อำนวยการและหัวหน้าเจ้าหน้าที่พัสดุ พิจารณาอนุมัติ เมื่อได้รับอนุมัติให้ยืมเงินจำเลยที่ 3 จะนำเงินส่วนหนึ่งฝากเข้าบัญชีเงินเดือนจำเลยที่ 1 ชื่อบัญชี “นายสันติ ฤาไชย” จำนวนเงินที่ฝากเข้าบัญชีจำเลยที่ 1 แต่ละครั้งจะได้รับแจ้งจำนวนจากนายพันศักดิ์ วงศ์ตะวัน ก่อนมีการเบิกเงิน และส่วนที่เหลือได้ส่งมอบให้นายพันศักดิ์ วงศ์ตะวัน ตามคำสั่ง หลังจากนั้น นายพันศักดิ์ วงศ์ตะวัน จะนำเงินสดใส่ซองส่งคืนให้จำเลยที่ 3 เพื่อนำไปจ่ายให้อดีตผู้รับจ้างที่เป็นบุคคลภายนอก อันเป็นเงินจำนวนที่น้อยกว่าจำนวนเงินที่จำเลยทั้งสามได้รับมาจากการเบิกจ่ายด้วยการจัดทำเอกสารอันเป็นเท็จ และจำเลยที่ 1 ดำเนินการให้บุคคลภายนอก (ผู้รับจ้างรายเดิม) เป็นผู้จัดซื้อและออกเงินส่วนตัวไปก่อน
โดยจำเลยที่ 2 เป็นผู้เขียนกำหนดรายการและปริมาณวัตถุดิบ ทำเสมือนว่าอดีตผู้รับจ้างเป็นผู้ดำเนินการจัดหาวัตถุดิบมาใช้ประกอบอาหาร จากนั้นอดีตผู้รับจ้างจะนำใบจัดซื้อขอเบิกเงินจากฝ่ายการเงิน จำเลยที่ 3 และนายพันศักดิ์ วงศ์ตะวัน จะสั่งการด้วยวาจาให้ผู้ช่วยเจ้าหน้าที่บัญชี (ลูกจ้าง) จัดทำหลักฐานใบจัดซื้อฯใหม่ทั้งฉบับ โดยมีรายการอาหารคงเดิม แต่จำนวนต่อหน่วย ราคาต่อหน่วย และราคารวมเพิ่มสูงขึ้น เพื่อให้จำนวนเงิน ที่เบิกจ่ายตรงกับจำนวนเงินที่ทำสัญญายืม คือวันละ 38,250 บาท และใบรับรองแทนใบเสร็จรับเงินระบุว่า จำเลยที่ 2 เป็นผู้จ่ายเงินในการจัดซื้อเพื่อใช้เป็นเอกสารหลักฐานประกอบการส่งใช้เงินยืมอันเป็นการจัดทำเอกสารเท็จ ความจริงแล้วจำนวนเงินที่จัดซื้อวัตถุดิบมีราคาต่ำกว่าและเป็นการจ่ายเงินให้แก่อดีตผู้รับจ้าง ไม่ใช่จำเลยที่ 2 อดีตผู้รับจ้างจัดซื้อไปจริงเป็นจำนวน 101 ครั้ง รวม 29 สัญญายืมเงิน เป็นเหตุให้โรงเรียนกาฬสินธุ์ปัญญานุกูล ได้รับความเสียหาย เป็นจำนวนเงิน 1,657,100 บาท จำเลยทั้งสามร่วมกันกระทำด้วยเจตนาปกปิดการจ่ายเงินค่าวัตถุดิบว่ามีจำนวนน้อยกว่าที่ระบุ เพื่อเบียดบังเอาเงินส่วนที่เหลือจ่ายและต้องส่งคืนชดใช้เงินยืมให้แก่โรงเรียนกาฬสินธุ์ปัญญานุกูลเป็นประโยชน์ของตนเองหรือผู้อื่น อันเป็นการกระทำโดยทุจริตและฝ่าฝืนกฎหมาย
ศาลพิพากษาให้ นายสันติ ฤาไชย จำเลยที่ 1 กระทำการอันเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ลงโทษจำคุกกระทงละ 5 ปี รวม 29 กระทง เป็นจำคุก 145 ปี จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้กึ่งหนึ่งคงจำคุก 58 ปี 174 เดือน (72ปี 6 เดือน) กรณีมีความผิดกระทงหนักที่สุดมีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงเกินสินปี จึงให้ลงโทษจำคุก จำเลยที่ 1 มีกำหนด 50 ปี นางชุติมา ภูขันสูง จำเลยที่ 2 และนางวราภรณ์ ดีจรัส จำเลยที่ 3 กระทำการอันเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ลงโทษจำคุกกระทงละ 3 ปี 4 เดือน รวม 29 กระทง เป็นจำคุก 87 ปี 116 เดือน จำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 ให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 29 ปี 232 เดือน

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา