
'สุภอรรถ โบสุวรรณ' ชี้เปิดเผย 25 ชุดข้อมูลภาครัฐช่วยแก้ปัญหาคอร์รัปชัน-หลักนิติธรรมจะเข้มแข็ง
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ 13 ก.ย. 2568 สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (TIJ) ร่วมกับบริษัท แฮนด์ วิสาหกิจเพื่อสังคม จำกัด จัดอบรมหัวข้อ เปิด 25 ชุดข้อมูลภาครัฐ เครื่องมือสำคัญยกระดับหลักนิติธรรมไทย
นางสาวบวรลักษณ์ ทองมาก ผู้จัดการโครงการ TIJ กล่าวว่า Rule of Law หรือหลักนิติธรรม ยังหานิยามที่ชัดเจนไม่ได้เพราะแต่ละองค์กรของแต่ละประเทศก็มีนิยามที่แตกต่างกัน แต่ในนิยามเหล่านั้นก็มีคำสัญที่คล้ายกัน คือ การเข้าถึงความยุติธรรมอย่างเสมอภาค และจากการศึกษาของ TIJ พบว่าประเทศที่มีหลักนิติธรรมเข้มแข็งจะมีการคอร์รัปชันต่ำ ส่วนประเทศที่มีการคอร์รัปชันสูงจะมีหลักนิติธรรมอ่อนแอ ดังนั้นหากต้องการให้หลักนิติธรรมในประเทศเข้มแข็ง ต้องจัดการกับปัญหาคอร์รัปชันที่มีอยู่ในทุกภาคส่วนให้ได้
นายสุภอรรภ โบสุวรรณ Co-founder บริษัท แฮนด์ วิสาหกิจเพื่อสังคม จำกัด (HAND Social Enterprise) กล่าวว่า การแก้ปัญหา corruption ของประเทศไทยต้องแก้ทั้งระบบและคน โดยสมการคอร์รัปชัน C=M+D-A หรือ Coruuption = Monopoly (การผูกขาด) + Discretion (การใช้ดุลยพินิจ) - Accountability (การถูกตรวจสอบเอาผิด/กลไกความรับผิดชอบ) จากสมการข้างต้นถ้าจะลดการคอร์รัปชันต้องลดการผูกขาดและการใช้ดุลยพินิจ โดยใช้การเปิดเผยข้อมูล
นายสุภอรรถ แบ่ง 25 ชุดข้อมูลภาครัฐเป็น 5 ประเภท มีรายละเอียด ดังนี้
ประเภทที่ 1 ข้อมูลเปิดเผยสาระสำคัญ ได้แก่
1.ข้อมูลคู่สัญญาของรัฐ
2.ข้อมูลผู้บริหารและคณะกรรมการต่าง ๆ ของภาครัฐ
3.ข้อมูลงบประมาณภาครัฐ
4.ข้อมูลการใช้จ่ายภาครัฐ
5.ข้อมูลโครงการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ
6.ข้อมูลการสนับสนุนทางการเงินจากรัฐ
7.ข้อมูลการบริจาคหรือการช่วยเหลือจากต่างประเทศ
8.ข้อมูลการลงคะแนนของสมาชิกรัฐสภา
9.ข้อมูลการประชุมของฝ่ายบริหาร และฝ่ายนิติบัญญัติ
10.ข้อมูลบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินฯ
11.ข้อมูลหารครอบครองที่ดิน
ซึ่งข้อมูลทั้ง 11 ประการข้างต้นยังคงมีช่องว่างที่ทำให้การเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะไม่สมบูรณ์ เช่น ฐานข้อมูลยังอยู่กระจัดกระจาย ข้อมูลที่เปิดเผยแล้วยังไม่สามารถนำไปใช้งานต่อได้ง่าย ไม่มีการเปิดเผยข้อมูลสัญญาสัมปทานโครงการขนาดใหญ่ เป็นต้น
ประเภทที่ 2 ข้อมูลไม่เปิดเผยในสาระสำคัญ ได้แก่
1.ข้อมูลนิติบุคคล ข้อมูลบางรายการไม่สามารถเข้าถึงได้นอกจากจะต้องเสียค่าใช้จ่ายในการคัดข้อมูล
2.ข้อมูลโครงการร่วมทุนระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน (PPPs) ที่ไม่ปรากฏในระบบจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ (e-GP)
3.คำพิพากษาศาล ที่คำพิพากษาศาลบางส่วนไม่เปิดชัด และระบบสืบค้นคำพิพากษาไม่ง่ายต่อการสืบค้นข้อมูล
4.ข้อมูลการตรวจสอบทุจริตของหน่วยงานตรวจสอบ เช่น ข้อมูลความคืบหน้าคดีที่ คณะกรรมการป้องกัน และปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูล
ประเภทที่ 3 ข้อมูลไม่มีการเปิดเผย ได้แก่
1.ข้อมูลบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการเมือง : PEPs (Politically Exposed Persons)
2.ข้อมูลมูลนิธิ หรือองค์กรอื่น ๆ ที่มีความใกล้เคียงกัน
ประเภทที่ 4 ข้อมูลไม่มีการจัดเก็บ ได้แก่
1.ข้อมูลผู้ได้รับประโยชน์ที่แท้จริง
2.ข้อมูล Lobbyist
ประเภทที่ 5 ขอบเขตข้อมูลยังไม่ชัดเจน ได้แก่
1.ข้อมูลเจ้าหน้าที่ภาครัฐ
2.ข้อมูลทางการเงินของพรรคการเมือง
3.ข้อมูลการออกใบอนุญาตต่าง ๆ
4.ข้อมูลการเปลี่ยนแปลงของกฎหมาย กฎระเบียบ
5.ข้อมูลนโยบายหาเสียงของพรรคการเมือง ที่ควรกำหนดขอบเขตข้อมูลที่ต้องการทราบ เช่น เม็ดเงินผลประโยชน์ชัด
6.ข้อมูลภาษีและศุลกากร
นายสุภอรรถ กล่าวว่า มีข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย 2 ประการในการพัฒนาการเปิดเผยข้อมูล ได้แก่ 1.การปรับปรุงโครงสร้างข้อมูลและเผยแพร่ต่อสาธารณะในระยะเวลา 1 ปี ได้แก่ ข้อมูลนิติบุคคลที่เป็นบริษัทเอกชน, PEPs list, ข้อมูลสัญญา PPPs, งบประมาณและการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ
2.การผลักดันให้มีการจัดเก็บและเปิดเผยข้อมูลเพิ่มขึ้นที่จำเป็นต้องใช้เวลามากกว่า 1 ปีแต่ไม่ควรเกิน 2 ปี ได้แก่ สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (DGA), กรมการปกครอง, กรมบัญชีกลาง และกรมที่ดิน
นายสุภอรรถ กล่าวว่า การเปิดข้อมูลให้สาธารณชนเข้าถึงได้และเผยแพร่เป็นสาธารณะจะเพิ่มความโปร่งใสและระบุปัจจัยเสี่ยงที่สุ่มเสี่ยงให้เกิดการคอร์รัปชัน ซึ่งในที่สุดแล้วจะนำไปสู่การเอาผิดเครือข่ายผู้กระทำความผิดได้

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา