ไม่มีนโยบาย‘ใต้โต๊ะ’! ‘บ.โฮปเวลล์’โต้เท‘หมื่นล.’ล้มคดี-ลุ้น‘ศาลปค.สูงสุด’ชี้ขาดปมอายุความ

HW 29 09 25 pic

‘บ.โฮปเวลล์’ โต้ไม่มีนโยบายจ่าย ‘ใต้โต๊ะ-สินบน’ หลังถูกกล่าวหาจ่าย ‘1 หมื่นล้าน’ ล้มคดี ‘โฮปเวลล์’ ขณะที่ ‘ที่ปรึกษาบริษัทฯ’ ลุ้น ‘ศาลปกครองสูงสุด’ ชี้ขาดปม ‘อายุความ’ ยก ‘รัฐธรรมนูญ’ ชี้ คำวินิจฉัย ‘ศาล รธน. ไม่มีผลผูกพัน ‘คดีที่ถึงที่สุด’ แล้ว

............................................

เมื่อวันที่ 29 ก.ย. นายสัญญา สถิรบุตร ที่ปรึกษา บริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยในการแถลงข่าว ‘ฆ่าโง่… จุดหักเหคดีโฮปเวลล์ ภัยคุกคามอำนาจอธิปไตยของชาติ’ โดยกล่าวถึงความคืบหน้าคดีโฮปเวลล์ ว่า หลังจากศาลปกครองกลาง มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 18 ก.ย.2566 ว่า คดีโฮปเวลล์ขาดอายุความ ทำให้กระทรวงคมนาคม และการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยฯ 11,888 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยให้กับ บริษัท โฮปเวลล์ฯ นั้น

ปัจจุบัน บริษัท โฮปเวลล์ฯ ได้ยื่นอุทธรณ์คดีดังกล่าวต่อศาลปกครองสูงสุดแล้ว โดยยื่นอุทธรณ์ในประเด็นต่างๆ โดยเฉพาะประเด็นเรื่องอายุความ ซึ่งขณะนี้คดียังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลปกครองสูงสุด

“คดีโฮปเวลล์ เขา (บริษัท โฮปเวลล์ฯ) อุทธรณ์ไปว่า คดีไม่ขาดอายุความ เขาอ้างว่า มติของที่ประชุมใหญ่ของศาลปกครองสูงสุด ที่ 18/2545 นั้น ไม่ขาด แต่องค์คณะชุดใหม่มาบอกว่า ขาด เขาจึงขอให้พิจารณาให้ความเป็นธรรมกับเขา โดยเรื่องนี้อยู่ในการพิจารณาของศาลฯ ซึ่งพูดไม่ได้ แต่เมื่อศาลปกครองสูงสุดรับคำอุทธรณ์แล้ว ก็คงกระอักกระอ่วนพอสมควรว่า จะพิจารณาอย่างไร เพราะเคยมีมติจากที่ประชุมใหญ่ไปแล้วว่า คดีไม่ขาดอายุความ” นายสัญญา กล่าว

ก่อนหน้านี้ ศาลรัฐธรรมนูญได้มีมติเสียงข้างมากเมื่อวันที่ 17 มี.ค.2564 ว่า มติที่ประชุมใหญ่ศาลปกครองสูงสุดที่ 18/2545 เรื่อง การนับอายุความ ว่า ขัดต่อรัฐธรรมนูญ ต่อมาวันที่ 4 มี.ค.2565 ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งให้ศาลปกครองกลางรับคดีโฮปเวลล์ไว้พิจารณาใหม่ เนื่องจากมีหลักฐานใหม่เกี่ยวกับการนับอายุความ กระทั่งในเวลาต่อมาศาลปกครองกลางได้มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 18 ก.ย.2566 ว่า คดีโฮปเวลล์ขาดอายุความ

ขณะเดียวกัน คำสั่งของศาลปกครองสูงสุด เมื่อวันที่ 4 มี.ค.2565 ที่มีคำสั่งให้ศาลปกครองกลางรับคดีโฮปเวลล์ไว้พิจารณาใหม่ นั้น เกิดขึ้นภายหลังจากศาลปกครองสูงสุดได้มีคำพิพากษาในคดีหมายเลขแดงที่ 221-223/2562 เมื่อวันที่ 22 เม.ย.2562 กลับคำพิพากษาศาลปกครองกลาง ให้กระทรวงคมนาคม และ รฟท. คืนเงินค่าก่อสร้างโครงการโฮปเวลล์ ให้กับ บริษัท โฮปเวลล์ฯ เป็นเงิน 11,888 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย 7.5% ต่อปี ภายใน 180 วัน

HW Timeline 29 09 25 1

นายสัญญา ระบุด้วยว่า ในการพิจารณาพิพากษาคดีโฮปเวลล์ของศาลปกครองสูงสุดนั้น ศาลปกครองสูงสุดไม่จำเป็นต้องเห็นพ้องด้วยกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เพราะแม้ว่าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญจะมีผลผูกพันทุกองค์กร แต่รัฐธรรมนูญมาตรา 212 บัญญัติ วรรคสาม ที่บัญญัติ ว่า

“คําวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้ใช้ได้ในคดีทั้งปวง แต่ไม่กระทบต่อคําพิพากษาของศาลอันถึงที่สุดแล้ว เว้นแต่ในคดีอาญาให้ถือว่า ผู้ซึ่งเคยถูกศาลพิพากษาว่ากระทำความผิดตามบทบัญญัติ แห่งกฎหมายที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าไม่ชอบด้วยมาตรา 5 นั้น เป็นผู้ไม่เคยกระทำความผิดดังกล่าว หรือถ้าผู้นั้นยังรับโทษอยู่ก็ให้ปล่อยตัวไป แต่ทั้งนี้ไม่ก่อให้เกิดสิทธิที่จะเรียกร้องค่าชดเชยหรือค่าเสียหายใดๆ”

นอกจากนี้ กรณีที่กระทรวงคมนาคม และ รฟท. ยื่นคำร้องผ่านกระบวนการผู้ตรวจการแผ่นดิน ซึ่งเป็นการอ้างสิทธิตามมาตรา 213 ของรัฐธรรมนูญ เพื่อขอศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเกี่ยวกันประเด็นการนับอายุความในคดีโฮปเวลล์ โดยอ้างผลการสอบสวนของคณะทำงานตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 143/2562 นั้น ยังเป็นกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ เนื่องจากกระทรวงคมนาคม และ รฟท. ไม่ใช่ ‘บุคคล’ จึงไม่สามารถอ้างสิทธิตามมาตรา 213 ของรัฐธรรมนูญได้

ทั้งนี้ รัฐธรรมนูญ มาตรา 213 บัญญัติว่า “บุคคลซึ่งถูกละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญคุ้มครองไว้มีสิทธิยื่นคําร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อมีคําวินิจฉัยว่าการกระทำนั้นขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์วิธีการ และเงื่อนไขที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ”

นายสัญญา กล่าวว่า เมื่อวันที่ 22 พ.ค.2568 ที่ผ่านมา ตนเข้ายื่นหนังสือถึงประธานสภาผู้แทนราษฎร โดยขอให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรแต่งตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ซึ่งมาจากทุกพรรคและคนนอก มาร่วมกันพิจารณาหาทางแก้ไขหรือทางออกว่า กรณีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญนั้น แม้ว่าจะผูกพันทุกองค์กร ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 213 แต่จะต้องไม่ผูกพันหรือมีผลกับคดีที่มีคําพิพากษาของศาลอันถึงที่สุดแล้ว โดยขอให้มีการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้ชัดเจน

พร้อมกันนั้น ยังได้ขอให้มีการแก้ไขรายงานผลการพิจารณาศึกษา เรื่อง ‘การปฏิบัติตามกฎหมายโครงการก่อสร้างทางยกระดับและถนนยกระดับในเขตกรุงเทพมหานครและการใช้ประโยชน์ที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย (โฮปเวลล์) ที่ระบุว่า การจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) จำกัด ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย เนื่องจากศาลแพ่งได้มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 21 มี.ค.2567 ว่า การจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท โฮปเวลล์ฯ ถูกต้องตามกฎหมาย

นายสัญญา กล่าวว่า ในเร็วๆนี้ จะไปยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี ว่า เพื่อขอให้ตรวจสอบว่าผลการสอบสวนและความเห็นของคณะทำงานฯตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 143/2562 นั้น นายกฯถูกหลอกหรือไม่ เพราะมีการปกปิดข้อมูล

นอกจากนี้ ตนจะไปยื่นหนังสือถึงประธานศาลฎีกาว่า ในประเทศไทยมีหลายศาล เช่น ศาลฎีกา ศาลรัฐธรรมนูญ ศาลแพ่ง ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง และศาลภาษี เป็นต้น ดังนั้น ในฐานะที่ประธานศาลฎีกา เป็นประมุขฝ่ายตุลาการ จึงอยากขอให้ประธานศาลฎีกาเป็นเจ้าภาพเรียกประชุมศาลต่างๆ ว่า แม้ว่าคำพิพากษาของแต่ละศาลฯจะเป็นอิสระ แต่เมื่อคดีตัดสินถึงที่สุดแล้ว ต้องไม่เข้าไปยุ่งได้หรือไม่

ด้าน นายคอลลิน เวียร์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) จํากัด ได้เผยแพร่จดหมายเปิดผนึกในงานแถลงข่าวครั้งนี้ โดยระบุถึงข้อกล่าวหาว่า บริษัท โฮปเวลล์ฯ ได้ทำการติดสินบนด้วยเงินจำนวน 10,000 ล้านบาท ให้นายพีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาค ขณะดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายกฯ (พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา) เพื่อล้มคดีโฮปเวลล์ นั้น เป็นข้อกล่าวหาที่เป็นเท็จอย่างสิ้นเชิง

“ตลอดเวลาที่ผ่านมา บริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) จํากัด ไม่เคยมีนโยบายหรือหลักปฏิบัติในการจ่ายเงินใต้โต๊ะหรือการจ่ายสินบน ไม่ว่าจะเป็นประเภทใดก็ตาม ในทุกๆการเจรจาที่ดำเนินการโดยบริษัทฯ มีความโปร่งใส มีความรับผิดชอบ และอยู่ในกรอบของกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทยอย่างเคร่งครัด” จดหมายของนายคอลลิน ระบุ

Statement Collin Weir 29 09 25 2