
คณะกรรมาธิการกิจการองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ ฯ วุฒิสภา รายงานผลการศึกษา ปัญหากระบวนการยุติธรรม-บังคับใช้กฎหมาย ฯ กรณีกระบวนการเลือกสมาชิกวุฒิสภา ต่อ วุฒิสภา ชง ครม.- กระทรวงยุติธรรม ชี้ คดีฮั้วเลือก สว. อำนาจกกต. หรือ ดีเอสไอ แนะ แก้ พ.ร.ป. กกต. ปี 60 ระบุให้ชัดเจนว่าเป็นอำนาจของใคร
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า วันที่ 6 ตุลาคม 2568 การประชุมวุฒิสภามีวาระการประชุมเรื่องที่คณะกรรมาธิการพิจารณาเสร็จแล้ว เรื่อง รายงานการพิจารณาศึกษา ปัญหาด้านกระบวนการยุติธรรมและการบังคับใช้กฎหมาย ของคณะทำงานพิจารณาศึกษาปัญหาด้านกระบวนการยุติธรรมและการบังคับใช้กฎหมายในคณะกรรมาธิการ (กมธ.) กิจการองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ การป้องกันและปราบปรามการทุจริต ประพฤติมิชอบ และการเสริมสร้างธรรมภิบาล วุฒิสภา ที่มี พล.ต.ต.ฉัตรวรรษ แสงเพชร สมาชิกวุฒิสภา (สว.) เป็นประธานกมธ.ฯ รายงานต่อวุฒิสภา โดยมีข้อสังเกตเพื่อส่งถึงคณะรัฐมนตรี (ครม.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงยุติธรรม กรณี ปัญหาเรื่องอำนาจหน้าที่ขององค์กรในการดำเนินคดีกรณีการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ที่ได้มาโดยไม่บริสุทธิ์หรือเที่ยงธรรม หรือ คดีฮั้วเลือกสว. โดยผลการพิจารณาศึกษา มีความเห็นแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ 1 เห็นว่า คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เท่านั้นที่เป็นผู้มีอำนาจในการสืบสวนสอบสวน และ กลุ่มที่ 2 กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) มีอำนาจรับเรื่องร้องเรียนไว้พิจารณาในประเด็นฐานความผิดฟอกเงินในส่วนของคดีอาญา ซึ่ง กมธ.มีข้อเสนอแนะ ควรมีการแก้ไขพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วย กกต. พ.ศ. 2560 ให้เกิดความชัดเจนในประเด็นฐานความผิดที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งว่า ควรอยู่ในหน้าที่และอำนาจเด็ดขาดของกกต. หรือ เห็นควรระบุให้ชัดเจนในกรณีที่หน่วยงานอื่น โดยมีรายละเอียด บทสรุป ข้อเสนอแนะ และข้อสังเกต เบื้องต้นได้ ดังนี้
@ คดีฮั้วเลือกสว. อำนาจ กกต. หรือ ดีเอสไอ
เรื่อง ความโปร่งใสและความรับผิดชอบของหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรม กรณี ข้อกล่าวหาในกระบวนการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา
บทสรุป พบว่า ปัญหาที่สำคัญที่ต้องพิจารณา คือ ปัญหาเรื่องอำนาจหน้าที่ขององค์กรในการดำเนินคดีกรณีการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภาที่ได้มาโดยไม่บริสุทธิ์หรือเที่ยงธรรม (ซึ่งประเด็นนี้เป็นเรื่องกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท) จึงต้องพิจารณาว่า เป็นอำนาจหน้าที่ขององค์กรใด เช่น ความผิดต่อเนื่อง หรือความผิดเกี่ยวพันหรือเกี่ยวข้องกับการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภาโดยไม่สุจริต ควรเป็นอำนาจหน้าที่ของหน่วยงานใดในการดำเนินการ ซึ่งจากผลการพิจารณาศึกษา พบว่ามีความเห็นแบ่งเป็น 2 กลุ่ม
กลุ่มที่ 1 เห็นว่า กกต.เท่านั้นที่เป็นผู้มีอำนาจในการสืบสวนสอบสวน
เห็นว่า กรมสอบสวนคดีพิเศษไม่มีอำนาจที่จะรับไว้พิจารณาสืบสวนและสอบสวนได้ เพราะข้อหาดังกล่าวมาจากการกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำเกี่ยวกับความผิดตามพ.ร.ป. ว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 ซึ่งอยู่ในอำนาจและหน้าที่ของ กกต. ซึ่งเป็นองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญทำการสืบสวนหรือไต่สวนตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ มาตรา 224 และ พ.ร.ป. ว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 มาตรา 77 ซึ่งมีลำดับศักดิ์ของกฎหมายสูงกว่าพ.ร.บ. การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 ในส่วนที่เกี่ยวกับ มาตรา 77 ดังกล่าว วรรคสอง กำหนดให้ความผิดตาม (1) (ให้ สัญญาว่าจะให้ทรัพย์สินหรือผลประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณเป็นเงินได้) ให้ถือเป็นความผิดมูลฐาน (ไม่ใช่ความผิดฐานฟอกเงิน) ตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และให้ กกต. มีอำนาจส่งเรื่องให้สำนักงาน ปปง. ดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจได้ นั้น ไม่ปรากฏว่ากกต. ได้ส่งเรื่องดังกล่าวให้กรมสอบสวนคดีพิเศษทำการสืบสวนและสอบสวนแต่อย่างใด
ในส่วนที่เกี่ยวกับ พ.ร.ป.ว่าด้วย กกต. พ.ศ. 2560 มาตรา 49 เจตนารมณ์ไม่ครอบคลุมถึง พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่ง สว. ดังนั้น ดีเอสไอจะรับเรื่องการกระทำความผิดตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่ง สว.พ.ศ. 2561 ไว้ทำการสืบสวนและสอบสวน โดยอ้างอำนาจตามมาตรา 49 ไม่ได้
ถึงแม้ว่าจะตีความว่าครอบคลุมถึงการกระทำความผิดตามพ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่ง สว. พ.ศ. 2561 มาตรา 49 ก็น่าจะขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ 60 มาตรา 224 ดังนั้น เมื่อ กกต. ไม่ได้มอบหมายให้ดีเอสไอดำเนินการภายใต้กำกับของกกต. ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กกต.กำหนด ประกอบกับการกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ดังนั้น ดีเอสไอ จึงไม่มีอำนาจสืบสวนและสอบสวนเรื่องดังกล่าวได้
เรื่องนี้อยู่ในหน้าที่และอำนาจของกกต. ซึ่งเป็นองค์กรอิสระในการไต่สวนและวินิจฉัย แต่ไม่อยู่ในอำนาจของดีเอสไอในการสืบสวนและสอบสวน
@ แนะแก้ พ.ร.ป.กกต. ปี 60 ระบุให้ชัดอำนาจใคร
กลุ่มที่ 2 เห็นว่า ดีเอสไอมีอำนาจรับเรื่องร้องเรียนไว้พิจารณาในประเด็นฐานความผิดฟอกเงินในส่วนของคดีอาญา โดยเห็นว่าไม่มีบทบัญญัติของพ.ร.ป.กกต. พ.ศ. 2560 ที่ตัดอำนาจการพิจารณาความผิดฐานฟอกเงิน ประกอบกับการพิจารณาของ ปปง. เป็นประเด็นทางแพ่ง
อีกทั้ง พ.ร.ป.กกต. พ.ศ. 2560 มาตรา 49 กรณีสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ดีเอสไอ หรือ หน่วยงานที่มีอำนาจสอบสวนการกระทำความผิดอาญาได้รับเรื่องร้องเรียน คำร้องทุกข์กล่าวโทษที่เห็นว่าอยู่ในหน้าที่และอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา พ.ร.บ.ดีเอสไอ พ.ศ.2547 หรือกฎหมายให้อำนาจสอบสวนคดีอาญาอื่น ประกอบกับ เป็นฐานของกฎหมายที่รับรองการสอบสวนของพนักงานสอบสวน การกระทำอันเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทหรือผิดหลายเรื่องต่อเนื่องหรือเกี่ยวพันกับความผิดเลือกตั้ง โดยไม่เสียไป โดยกกต.โอนเรื่องหรือสำนวนหรือดำเนินการเองหรือไม่ก็ได้ จึงถือว่าไม่ได้จัดอำนาจของหน่วยงานอื่นในการรับเรื่องไว้พิจารณา
ข้อสังเกตของกมธ. เมื่อพิจารณาจากห้วงระยะเวลาในการรับเรื่องร้องเรียนเพื่อดำเนินการของดีเอสไอ อาจต้องพิจารณาถึงสภาพแวดล้อมโดยรวม เช่น ปัญหาข้อขัดแย้งทางการเมืองหรือการแทรกแซงของนักการเมืองในขณะนั้นด้วย
ทั้งนี้ กมธ.ฯ มีข้อเสนอแนะ ควรมีการแก้ไขพ.ร.ป.กกต. พ.ศ. 2560 ให้เกิดความชัดเจนในประเด็นฐานความผิดที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งว่า ควรอยู่ในหน้าที่และอำนาจเด็ดขาดของกกต. หรือ เห็นควรระบุให้ชัดเจนในกรณีที่หน่วยงานอื่นสามารถพิจารณาในประเด็นที่เกี่ยวข้องหรือสามารถเชื่อมโยงกันได้ เพื่อป้องกันความสับสนในหน้าที่และอำนาจระหว่างหน่วยงาน

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา