
ศาลรัฐธรรมนูญมติเอกฉันท์ไม่รับ 2 คำร้องกรณี 'ปชน.-ภท.' ทำ MOA เลือกนายกฯแลกยุบสภาภายใน 4 เดือน ชี้ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าใช้สิทธิเสรีภาพล้มล้างการปกครอง-ไม่รับคำร้องกรณี 'พันตำรวจตรี ชาตรี เขียวภักดี' คัดค้านคำสั่งศาล ชี้ไม่มีบทบัญญัติใดให้บุคคลมีสิทธิอุทธรณ์คำวินิจฉัย-คำสั่งศาลรธน.
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ 3 พ.ย. 2568 ศาลรัฐธรรมนูญเผยแพร่ข่าวประชาสัมพันธ์ ผลการวินิจฉัยคดีที่สำคัญและเป็นที่สนใจ 3 คดี ได้แก่
1.กรณีนายคงเดชา ชัยรัตน์ยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชนและผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคประชาชน จำนวน 143 คน ทำ MOA กับพรรคภูมิใจไทย เพื่อลงคะแนนเสียงให้นายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกรัฐมนตรีโดยที่นายอนุทินจะต้องยุบสภาผู้แทนราษฎรภายใน 4 เดือน นับแต่วันที่รัฐบาลแถลงนโยบายต่อรัฐสภา เป็นการทำลายกลไกระบอบประชาธิปไตย ทำให้ขาดความเข้มแข็งในการถ่วงดุลอำนาจในการปกครองประเทศ
โดยศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์มีคำสั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย เนื่องจากเห็นว่า ข้อเท็จจริงตามคำร้อง คำร้องเพิ่มเติมประกอบ เมื่อบันทึกข้อตกลง (MOA) ระหว่างนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวฒิกับนายอนุทินเป็นการเจรจาหรือการประกาศเจตจำนงทางการเมืองร่วมกัน ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงหรือพยานหลักฐานอื่นที่ชัดเจนเพียงพอที่แสดงให้เห็นได้ว่าผู้ถูกร้องทั้งสามกระทำการอันเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง กรณีไม่ต้องด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49
2.กรณีนายอัครวัฒน์ พงศ์ธนาชลิตกุล (ผู้ร้อง) ยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า การจัดทำบันทึกข้อตกลง (MOA) ระหว่างนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ (ผู้ถูกร้องที่ 1) ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาชน (ผู้ถูกร้องที่ 2) กับนายอนุทิน ชาญวีรกูล (ผู้ถูกร้องที่ 3) ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ผู้ถูกร้องที่ 4) โดยตกลงให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในสังกัดพรรคผู้ถูกร้องที่ 2 พิจารณา ให้ความเห็นชอบผู้ถูกร้องที่ 3 เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นการได้มาซึ่งอำนาจฝ่ายบริหารที่ไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ
โดยศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์มีคำสั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย เนื่องจากเห็นว่า ข้อเท็จจริงตามคำร้องและเอกสารประกอบ เมื่อบันทึกข้อตกลง (MOA) ระหว่างผู้ถูกร้องที่ 1 กับผู้ถูกร้องที่ 3 เป็นการเจรจาหรือการประกาศเจตจำนงทางการเมืองร่วมกัน ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงหรือพยานหลักฐานที่ชัดเจนเพียงพอที่แสดงให้เห็นได้ว่า ผู้ถูกร้องทั้งสี่กระทำการอื่นใดอันเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิบไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง กรณีไม่ต้องด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49
3.กรณีพันตำรวจตรี ชาตรี เขียวภักดี (ผู้ร้อง) คัดค้านคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญที่ 103/2568 ลงวันที่ 14 ต.ค. 2568 ที่สั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย กล่าวอ้างว่า การที่ศาลรัฐธรรมญสั่งไม่รับคำร้องของของผู้ร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย เนื่องจากเป็นเรื่องที่อยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอื่น หรือเรื่องที่ศาลอื่นมีคำมิพากษา หรือคำสั่งถึงที่สุดแล้วตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 47 (4) ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญและกฎหมาย เพราะกรณีตามคำร้องดังกล่าว ผู้ร้องดำเนินการฟ้องคดีต่อศาลปกครองอันเป็นการใช้สิทธิตามที่กฎหมายบัญญัติขั้นตอนและวิธีการไว้เป็นการเฉพาะแล้วตามมาตรา 47 (3) ประกอบกับศาลรัฐธรรมนูญยังไม่ได้พิจารณาวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า ตุลาการศาลปกครองมีพฤติการณ์ฝ่าฝืนจริยธรรม ตุลาการศาลปกครอง และไม่สุจริตในการพิจารณาคดี ผู้ร้องขอให้พิจารณาวินิจฉัยคำร้องของผู้ร้องใหม่
ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์มีคำสั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย เห็นว่า ข้อเท็จจริงตามคำร้องต่อเนื่องมีลักษณะเป็นการขออุทธรณ์คำสั่งศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งรัฐธรรมนูญและพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 ไม่มีบทบัญญัติให้บุคคลมีสิทธิอุทธรณ์คำวินิจฉัยหรือคำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญ ผู้ร้องไม่อาจอุทธรณ์คำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญดังกล่าวได้ กรณีไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 213 ดังนั้น ผู้ร้องไม่อาจยื่นคำร้องดังกล่าวตามรัฐธรรรมนูญ มาตรา 233

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา