
ศาล ปค.สูงสุดมีคำสั่งให้ศาลชั้นต้นรับฟ้องคดีสภาผู้บริโภคร่วมกับผู้ปกครองฟ้องสถาบันการศึกษากรณีเก็บเงินค่าบำรุงการศึกษา ด้านทนายผู้เสียหายเผยเป็นนิมิตรหมายที่ดี หลังศาลปกครองชั้นต้นไม่รับฟ้องคดี
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่าเมื่อวันที่ 18 พ.ย.เว็บไซต์สภาผู้บริโภคได้มีการเผยแพร่ข่าวกรณีศาลปกครองสูงสุด ได้มีคำสั่งให้ศาลชั้นต้นรับฟ้องคดีที่สภาผู้บริโภคเป็นโจทก์ ร่วมกับนักเรียนและผู้ปกครองฟ้องสถาบันการศึกษา กรณีการเรียกเก็บ “เงินบำรุงการศึกษา” ไว้พิจารณา หลังจากที่ศาลชั้นต้นเคยไม่รับฟ้องในตอนแรก ถือเป็นสัญญาณเชิงบวก และชี้ให้เห็นว่าผู้บริโภคที่ได้รับผลกระทบจากการเรียกเก็บค่าบำรุงการศึกษามีสิทธิฟ้องสถานศึกษาได้
นายสิงห์ชัย สุขแสงรัตน์ ทนายความผู้เสียหาย เปิดเผยว่า คำสั่งของศาลปกครองสูงสุดครั้งนี้ถือเป็น “นิมิตหมายที่ดี” และเป็นความก้าวหน้าที่สำคัญของการต่อสู้ทางกฎหมาย หลังจากที่ศาลปกครองชั้นต้นเคยมีคำสั่งไม่รับฟ้องคดีทั้งหมดมาก่อน อย่างไรก็ตาม ศาลปกครองสูงสุดได้มีคำสั่งให้ศาลชั้นต้นรับฟ้องไว้พิจารณาในส่วนที่เกี่ยวข้องกับผู้ฟ้องคดีลำดับที่ 4 และจำเลยที่เกี่ยวข้อง(สถาบันการศึกษา) ขณะที่จำเลยรายอื่น ๆ คือกระทรวงศึกษาธิการ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการยังคงไม่รับฟ้อง
คดีนี้ สภาผู้บริโภค และผู้แทนผู้ได้รับความเสียหายจากการถูกเรียกเก็บค่าบำรุงการศึกษา ได้แก่ นักเรียนและผู้ปกครอง เข้ายื่นฟ้องกระทรวงศึกษาธิการ (สธ.) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2567 ที่ผ่านมา โดยศาลชั้นต้นไม่รับฟ้อง แต่ศาลปกครองสูงสุดได้มีคำสั่งให้ศาลชั้นต้นรับฟ้องคดี
ศาลได้วินิจฉัยว่า การยื่นฟ้องของผู้ฟ้องคดีที่ 4 ยังไม่พ้นอายุความ จึงสามารถเข้าสู่กระบวนการพิจารณาได้ และได้มีคำสั่งให้สถานศึกษาเข้ามาเป็นคู่ความในคดี เพื่อให้ข้อเท็จจริงและประเด็นปัญหาได้ถูกตรวจสอบอย่างรอบด้านต่อไป
นายอรรถพล อนันตวรสกุล ประธานอนุกรรมการด้านการศึกษา สภาผู้บริโภค ระบุว่า การที่ศาลปกครองสูงสุดรับคำฟ้องกรณีการเรียกเก็บ “เงินบำรุงการศึกษา” ไว้พิจารณา ถือเป็นพัฒนาการเชิงบวกอย่างสำคัญ เพราะเป็นการเปิดประเด็นให้พิจารณาว่า ขอบเขตและนิยามของเงินประเภทนี้ควรอยู่ตรงไหน รวมถึงตรวจสอบว่าประกาศกระทรวงศึกษาธิการปี 2554 ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันนั้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เนื่องจากอาจขัดแย้งกับรัฐธรรมนูญ ปี 2560 ซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ
“คำสั่งของศาลที่รับฟ้องคดีภายในอายุความครั้งนี้ เปรียบเสมือนการเปิด “ประตูแห่งสิทธิ” ให้แก่ผู้ปกครองและผู้บริโภคบริการสาธารณะ ได้มีช่องทางทางกฎหมายในการตรวจสอบและตั้งคำถามต่อการเรียกเก็บเงินบำรุงการศึกษาของสถานศึกษาของรัฐที่อาจไม่เป็นธรรม เป็นการยืนยันสิทธิของผู้ปกครอง ในฐานะผู้บริโภคบริการสาธารณะ ว่ามีสิทธิใช้กระบวนการยุติธรรมยื่นฟ้องเพื่อปกป้องตนเองได้” อรรถพลกล่าว
ทั้งนี้ ตลอดช่วง 2–3 ปีที่ผ่านมา มีความพยายามเคลื่อนไหวประเด็นนี้มาอย่างต่อเนื่อง แต่บางกรณีหมดอายุความไปแล้ว เช่น ผู้ปกครองที่ชำระเงินตั้งแต่ปี 2565–2566 แต่สำหรับคดีล่าสุดที่ศาลรับไว้พิจารณา เป็นกรณีที่มีการชำระเงินในปี 2566 ซึ่งอยู่ในระยะเวลาที่สามารถยื่นฟ้องได้ จึงถือเป็นสัญญาณสำคัญ ส่งถึงโรงเรียนทั่วประเทศว่าผู้ปกครองมีสิทธิสอบถาม ตรวจสอบ และคัดค้านการเรียกเก็บเงินบำรุงการศึกษาในหลักสูตรทั่วไปได้ หากพบว่าไม่ชอบด้วยกฎหมาย
นอกจากนี้ ประกาศกระทรวงศึกษาธิการปี 2554 ระบุชัดเจนว่ามี “22 หมวดรายการ” ที่โรงเรียนไม่มีสิทธิเรียกเก็บ แต่ปัจจุบันกลับพบว่าโรงเรียนหลายแห่งเรียกเก็บซ้ำซ้อน โดยไม่รู้ว่ารายการเหล่านั้นเป็นรายการที่รัฐจัดสรรงบประมาณรองรับไว้อยู่แล้ว เรื่องนี้จึงเป็นโจทย์สำคัญที่สภาผู้บริโภคต้องเดินหน้าสื่อสารให้ผู้ปกครองรับรู้สิทธิของตนอย่างชัดเจน
“ก่อนจะจ่ายเงินบำรุงการศึกษา ผู้ปกครองมีสิทธิถามโรงเรียนว่า รายการที่ถูกเรียกเก็บนั้นซ้ำซ้อนกับงบของรัฐหรือไม่ เพราะนั่นคือการปกป้องสิทธิของตัวเองและของเด็ก ๆ ในฐานะผู้รับบริการสาธารณะจากรัฐ” อรรถพลกล่าว พร้อมย้ำว่า รัฐธรรมนูญมาตรา 54 ระบุชัดเจนว่า เด็กมีสิทธิได้รับการศึกษาฟรีอย่างน้อย 12 ปี และ 15 ปี ตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบเรียบร้อยปี 2559
อรรถพล ทิ้งท้ายว่า ประเด็นนี้คือภารกิจที่สภาผู้บริโภคจะยังคงเดินหน้าผลักดันอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ระบบการศึกษามีความเป็นธรรม และสอดคล้องกับสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน ที่ผ่านมาสภาผู้บริโภคได้เปิดพื้นที่ใหม่ในการทำงานด้านการศึกษา เพื่อชี้ให้สังคมเห็นว่า ผู้ปกครองและเด็กทุกคนสามารถใช้สภาผู้บริโภคเป็นช่องทางในการส่งเสียงถึงโรงเรียนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นปัญหาคุณภาพ ความปลอดภัย สิทธิ หรือโอกาสในการเข้าถึงบริการสาธารณะขั้นพื้นฐาน
“สภาผู้บริโภคพร้อมทำหน้าที่เป็นอีกหนึ่งช่องทางรับเรื่องร้องเรียน และสนับสนุนการเคลื่อนไหวเพื่อให้ผู้บริโภค ได้รับสิทธิที่ควรได้รับอย่างเท่าเทียมทั่วถึง โดยเฉพาะสิทธิด้านการศึกษาที่ต้องเข้าถึงได้สำหรับเด็กทุกคน”
นายเชษฐา มั่นคง อนุกรรมการด้านการศึกษา สภาผู้บริโภค กล่าวเสริมว่า การศึกษาเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่เด็กทุกคนพึงได้รับตามรัฐธรรมนูญ โดยมาตรา 54 ของรัฐธรรมนูญปี 2560 กำหนดให้เด็กได้รับการศึกษาฟรี 12 ปี อย่างไรก็ตาม คณะอนุกรรมการด้านการศึกษาของสภาผู้บริโภคกำลังผลักดันให้มีหลักการ “เรียนฟรี 15 ปี” ตามที่เคยระบุไว้ในรัฐธรรมนูญปี 2540 เพื่อให้สิทธิขั้นพื้นฐานของเด็กครอบคลุมและชัดเจนยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ ผู้ปกครองควรได้รับข้อมูลที่ชัดเจนว่า รายการใดเป็นค่าใช้จ่ายที่ต้องรับผิดชอบเอง และรายการใดเป็นสิทธิที่รัฐต้องจัดให้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย แต่ปัจจุบันระบบการศึกษาไม่ได้สื่อสารเรื่องนี้อย่างโปร่งใส ทำให้ผู้ปกครองหลายคนไม่รู้ว่าตนกำลังจ่ายในสิ่งที่ไม่ควรต้องจ่าย
“หากมีการกำหนดขอบเขตค่าใช้จ่ายให้ชัดเจน ผู้ปกครองจะรู้ว่าสิทธิของลูกหลานคืออะไร และอะไรคือสิ่งที่รัฐต้องจัดให้โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย นี่คือสิทธิขั้นพื้นฐานที่เด็กควรได้รับ” เชษฐากล่าว พร้อมฝากให้ทุกฝ่ายร่วมผลักดันประเด็นนี้ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อไป
นายสมชาย คุ้มพูล อนุกรรมการด้านการศึกษา สภาผู้บริโภค กล่าวว่า คำสั่งของศาลปกครองสูงสุดที่รับเรื่องไว้พิจารณาและเรียกคู่คดีเข้ามานั้น เป็นโอกาสสำคัญที่จะทำให้สังคมหันกลับมาคำนึงถึง “การพัฒนาเด็กและเยาวชนของชาติ” ซึ่งควรได้รับการศึกษาฟรี 15 ปีอย่างแท้จริง รัฐจึงต้องให้ความสำคัญต่อสิทธิด้านการศึกษา เพราะการพัฒนาประเทศจะเกิดขึ้นได้ เด็กและเยาวชนต้องเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพและไม่ถูกขัดขวางด้วยภาระค่าใช้จ่าย
สมชาย กล่าวว่า การเรียกเก็บเงินจากผู้ปกครองที่ผ่านมาอาจขัดกับรัฐธรรมนูญมาตรา 54 รวมถึงคำสั่ง คสช. และตามอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (UNCRC) ที่กำหนดให้รัฐต้องจัดการศึกษา 3 ปี ก่อนวัยเรียน และ 12 ปี ระดับพื้นฐาน รวมเป็น 15 ปี ซึ่งต้องเป็นการศึกษาฟรี ตามหลักการสากล
ประเด็นนี้ควรได้รับการสื่อสารให้ประชาชนเข้าใจอย่างถูกต้องว่า รัฐไม่ควรเรียกเก็บเงินค่าเรียนจากเด็กในระบบการศึกษาภาคบังคับ และหากทำได้จริง หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) หรือ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จะแบ่งเบาภาระเรื่องเด็กหลุดจากระบบการศึกษา และเพิ่มโอกาสให้เด็กในพื้นที่ชนบททั้ง 77 จังหวัด ได้รับการศึกษาอย่างทั่วถึงมากขึ้น
ด้าน ตัวแทนจากสภาเด็กและเยาวชนแห่งประเทศไทย กล่าวแสดงความเห็นว่า ในฐานะตัวแทนของเยาวชน เขาเห็นว่า รัฐธรรมนูญระบุไว้อย่างชัดเจนว่า เด็กทุกคนต้องได้รับการศึกษาฟรี 12 ปี ดังนั้น เมื่อสถานศึกษาของรัฐไม่ปฏิบัติตามหลักการนี้ ย่อมสะท้อนคำถามสำคัญว่า เหตุใดกระทรวงศึกษาธิการจึงไม่ยึดถือบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญอย่างเคร่งครัด
“หากคดีนี้เดินหน้าและชนะ ผู้ปกครองจำนวนมากจะได้รับการบรรเทาภาระค่าใช้จ่าย โดยเฉพาะครอบครัวที่มีรายได้วันต่อวัน เช่น ผู้ค้าขายรายย่อย ซึ่งเดิมทีต้องแบกรับค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาที่สูงเกินกำลัง การยกเลิกการเรียกเก็บเงินบำรุงการศึกษาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงจะเป็นประโยชน์โดยตรงต่อครอบครัวไทยจำนวนมาก” เขากล่าวเสริม
ตัวแทนเยาวชนยังกล่าวด้วยว่า ภาระค่าใช้จ่ายที่เกินความจำเป็นอาจทำให้เด็กบางคนผู้ที่มีผลการเรียนดีอาจต้องหยุดเรียนกลางคัน เพราะผู้ปกครองไม่สามารถจ่ายค่าใช้จ่ายที่โรงเรียนเรียกเก็บได้ ส่งผลกระทบต่อโอกาสทางการศึกษาในระดับมัธยมปลายและการศึกษาต่อในมหาวิทยาลัย การที่ศาลรับฟ้องคดีนี้จึงเป็นก้าวสำคัญ ที่จะช่วยคุ้มครองสิทธิด้านการศึกษาของเด็กและเยาวชน และลดภาระให้กับผู้ปกครองได้

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา