
ศาลฎีกาพิพากษายกฟ้อง กก.บริษัทแม็กซ์ อินเตอร์ หลัง ปปง.ให้ผู้เสียหายยื่นขอชดใช้คืน คดีฉ้อโกงลงทุนผลิตน้ำมันรำข้าวแต่ไม่ได้เงินปันผล ยกเหตุพยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักน้อย ส่วนเรื่องเงินปันผลเป็นแค่การประชาสัมพันธ์ของบริษัทเท่านั้น ไม่มีส่วนไหนรับรองว่าจะได้เงินจริง
สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 1พ.ค. สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) ได้นำเสนอข่าวอ้างอิงจากราชกิจจานุเบกษา วันที่ 30 เมษายน 2568 เผยแพร่ ประกาศสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เรื่อง ให้ผู้เสียหายยื่นคำร้องเพื่อขอรับคืนหรือชดใช้คืนซึ่งทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดหรือชดใช้ ค่าเสียหายให้แก่ผู้เสียหายในความผิดเกี่ยวกับการฉ้อโกงประชาชนตามประมวลกฎหมายอาญา ราย บริษัท แม็กซ์ อินเตอร์ เนชั่นแนล จำกัด โดยนายประกาศิต เลิศมุกดา กรรมการผู้จัดการ กับพวก กระทำความผิดมูลฐานในการผลิตสินค้าที่ไม่ตรงตามโฆษณา ชักชวนให้ร่วมลงทุนในหุ้นส่วนในการผลิตผลิตภัณฑ์น้ำมันรำข้าว แต่ไม่มีการจ่ายเงินปันผลจำนวน 15,000 บาทต่อเดือน
ต่อมาผู้เสียหายดำเนินคดีอาญากับนายประกาสิต เลิศมุกดา และนายวรวุฒิ บริบูรณ์ธนกิจ เป็นจำเลยที่ 1 และ 2 ข้อหาฉ้อโกงประชาชนโดยฟ้องคดีต่อศาลจังหวัดราชบุรี และเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2564 ศาลจังหวัดราชบุรี ในคดีหมายเลขดำที่ อ1103/2563 คดีหมายเลขแดงที่ อ834/2564 มีคำสั่งจำหน่ายคดีในส่วนของนายประกาสิต เลิศมุกดา เนื่องจากนำเงินไปชดใช้ให้แก่ผู้เสียหายแล้ว และมีคำพิพากษาว่า นายวรวุฒิ บริบูรณ์ธนกิจ มีความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน ตามมาตรา 343 ประกอบมาตรา 341 แห่งประมวลกฎหมายอาญา ศาอุทธรณ์มีคำพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นในส่วนของฐานความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน

สำนักข่าวอิศรารายงานข่าวล่าสุดเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่าเมื่อวันที่ 19 พ.ย. นายวรวุฒิได้ติดต่อมายังสำนักข่าวอิศราพร้อมกับส่งคำพิพากษาศาลฎีกามาด้วย มีเนื้อความระบุว่าศาลฎีกาได้กลับคำพิพากษายกฟ้อง ดังนั้นตนจึงไม่มีความผิดแต่อย่างใด
สำหรับรายละเอียดของคำพิพากษาศาลฎีกาเมื่อวันที่ 20 มี.ค. ประทับตราสำเนาถูกต้องลงวันที่ 19 ก.ค.โดยสรุปนั้นระบุว่า
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1922/2568 ตัดสินในคดีอาญาระหว่างโจทก์คือ 1.นางสาวภัครธญากรณ์ ฤทธิ์เดช และ 2.นางชนิตา วัชระรังสี กับจำเลยคือ 1.นายประกาสิต เลิศมุกดา และ 2.นายวรวุฒิ บริบูรณ์ธนกิจ
โดยในคดีนี้ศาลได้พิพากายกฟ้อง จำเลยที่ 2 เพราะเห็นว่าพยานหลักฐานของโจทก์ทั้งสองมีน้ำหนักน้อย พยานหลักฐานของจำเลยที่ 2 มีน้ำหนักในการรับฟังมากกว่า จึงพิพากษากลับ
ส่วนจำเลยที่ 1 ศาลได้พิพากษาให้ยกฟ้อง เนื่องจากโจทก์ได้ถอนฟ้องในส่วนของจำเลยที่ 1 ไปแล้ว และทางศาลได้อนุญาตให้ถอนฟ้องในส่วนนี้
สำนักข่าวอิศรารายงานเพิ่มเติมว่าสำหรับข้อมูลคำพิพากษาโดยสรุปคือ โจทก์ทั้งสองฟ้องว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันหลอกลวงประชาชนผ่านเฟซบุ๊กและไลน์ โดยแสดงข้อความเท็จเกี่ยวกับบริษัทแม็กซ์ อินเตอร์ เน็ตเวิร์ค จำกัด
ฝ่ายโจทก์อ้างอีกว่าจำเลยทั้งสองชักชวนให้ประชาชนร่วมลงทุนซื้อหุ้นผลิตภัณฑ์โครโมซอลเอสและไตรเจอร์นอล โดยอ้างว่าจะได้รับเงินปันผลทุกเดือน โจทก์ทั้งสองจึงหลงเชื่อและร่วมลงทุน แต่ต่อมาจำเลยทั้งสองไม่จ่ายเงินปันผลตามที่กล่าวอ้าง ทำให้โจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหาย
ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า เอกสารที่โจทก์ทั้งสองอ้างว่าเป็นโฆษณาหลอกลวงนั้น เป็นเพียงการประชาสัมพันธ์การดำเนินกิจการของบริษัทไม่มีส่วนใดที่ระบุว่าจะได้เงินปันผลไม่ต่ำกว่าเดือนละ 15,000 บาท อีกทั้งนางสาวทิพวรรณ (ไม่ได้ระบุนามสกุล) พยานโจทก์เบิกความว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้ชักชวนให้ซื้อหุ้น แต่ศาลเห็นว่ารับฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้ร่วมชักชวนด้วยแต่อย่างใด
อีกทั้งโจทก์ทั้งสองเคยได้รับเงินปันผลในระยะแรก แต่ต่อมาบริษัทแม็กซ์ อินเตอร์ขายสินค้าไม่ได้จึงไม่มีการจ่ายเงินปันผล โดยจำเลยที่ 2 เบิกความว่าทำธุรกิจขายตรงโดยถูกต้อง และไม่เคยโพสต์ข้อความประชาสัมพันธ์สินค้าประกอบกับเลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคเบิกความว่าบริษัทดังกล่าวประกอบธุรกิจตามแผนการตลาดที่จดทะเบียนไว้
ขณะที่พยานจำเลยเบิกความว่าสาเหตุที่ไม่มีการจ่ายเงินปันผลเนื่องจากสมาชิกไม่ช่วยกันจำหน่ายสินค้าสอดคล้องกับสัญญาที่โจทก์ที่ 1 ทำไว้กับบริษัทออลพูล มาร์เก็ตติ้ง จำกัด ที่ระบุว่าผลประโยชน์ขึ้นอยู่กับยอดขาย
ด้วยเหตุผลเบื้องต้นประกอบกันจึงเป็นที่มาของการที่ศาลฎีกายกฟ้องจำเลยที่ 2

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา