
ปปง.ตามยึดอายัดทรัพย์ 264 รายการ 251.1 ล้าน คดี หจก.โฆษณาผ่านเฟซบุ๊ก 'กิติกร' หลอกลงทุนขุดเหรียญคริปโตฯให้ผลตอบแทนสูง หลงเชื่อ 3,000 คน เสียหาย 2.6 พันล้าน
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) มีคำสั่งคณะกรรมการธุรกรรมที่ ย 229/2568 ลงวันที่ 11 กันยายน 2568 เรื่อง ยึดทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดไว้ชั่วคราว ราย ห้างหุ้นส่วนจำกัดรายหนึ่ง โดยนายกิติกร และพวก ในคดีร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน (แชร์ลูกโซ่) โดยโฆษณาผ่านเฟซบุ๊กชักชวนประชาชนร่วมลงทุนธุรกิจขุดเหรียญคริปโตเคอเรนซี่ และฝากเทรดคริปโตฯ โดยเสนอผลตอบแทนสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยตามกฎหมาย มีผู้เสียหายประมาณ 3,000 คน มูลค่าความเสียหายรวมประมาณ 2,600,000,000 บาท (สองพันหกร้อยล้านบาท) ทั้งนี้ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) รับเป็นคดีพิเศษแล้ว
ทรัพย์สินที่ ปปง.มีคำสั่งยึดและอายัด จำนวน 264 รายการ อาทิ ที่ดินตามโฉนด ห้องชุด อุุปกรณ์คอมพิวเตอร์ เครื่องประดับ เครื่องแต่งกาย ชิ้นสวนรถ เงินในบัญชีเงินฝาก รวมราคาประเมิน 251,130,340.57 บาท พร้อมดอกผล
คำสั่งคณะกรรมการธุรกรรมมีรายละเอียดดังนี้
@เปิดคำสั่งยึดอายัดทรัพย์ - ปปง.รับเรื่องจาก ตร.
ด้วยสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (สำนักงาน ปปง.) ได้รับรายงานจากกองบังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 1 ตามหนังสือที่ ตช 0039.23/1859 ลงวันที่ 30 สิงหาคม 2565 เรื่องส่งแบบรายงานตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีรายห้างหุ้นส่วนจำกัด ซึ่งเป็นกรณีมีพฤติการณ์แห่งการกระทำความผิดเกี่ยวกับการฉ้อโกงประชาชนตามประมวลกฎหมายอาญาหรือความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน กล่าวคือ
ห้างหุ้นส่วนจำกัด (ปกปิด) , ผู้ต้องหาที่ 1 โดยนายกิติกร , ผู้ต้องหาที่ 2, นางสาวณัฐวดี , ผู้ต้องหาที่ 3, นางอนงค์ , ผู้ต้องหาที่ 4 และนายกันติพัส , ผู้ต้องหาที่ 5 ร่วมกันโฆษณาหรือประกาศให้ปรากฏต่อประชาชน หรือกระทำด้วยประการใด ๆ ให้ปรากฏแก่บุคคลตั้งแต่สิบคนขึ้นไป ทางโปรแกรมเฟซบุ๊กซึ่งใช้ชื่อว่า “กิติกร ” ซึ่งเป็นเฟซบุ๊กส่วนตัวที่ตั้งค่าเป็นสาธารณะ โดยบุคคลทั่วไปสามารถเข้าถึงได้ หลอกลวงให้ประชาชนเข้าร่วมลงทุนในธุรกิจขุดเหรียญคริปโตเคอเรนซี่ ฝากเทรดคริปโตเคอเรนซี่และเสนอผลประโยชน์ตอบแทนในอัตราที่สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยสูงสุดที่สถาบันการเงินตามกฎหมายว่าด้วยดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมของสถาบันการเงินจะพึงจ่ายได้แก่ผู้ร่วมลงทุนเป็นเหตุให้มีประชาชนสนใจเข้าร่วมลงทุนกับห้างหุ้นส่วนจำกัด เป็นจำนวนมาก
โดยห้างหุ้นส่วนจำกัด รู้หรือควรรู้อยู่แล้วว่าจะนำเงินจากผู้ร่วมลงทุนรายนั้นหรือรายอื่นมาจ่ายหมุนเวียนให้แก่ผู้ร่วมลงทุนรายก่อน หรือรู้หรือควรรู้อยู่แล้วว่าจะไม่สามารถประกอบกิจการใด ๆ โดยชอบด้วยกฎหมายที่จะให้ผลประโยชน์ตอบแทนพอเพียงที่จะนำมาจ่ายในอัตรานั้นได้ ซึ่งต่อมาห้างหุ้นส่วนจำกัด ก็ไม่สามารถจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนให้แก่ประชาชนผู้ร่วมลงทุนตามที่ตกลงไว้ได้ ทำให้มีประชาชนที่ได้รับความเสียหายจากการหลอกลวงดังกล่าวประมาณ 3,000 คน มูลค่าความเสียหายรวมประมาณ 2,600,000,000 บาท
ซึ่งพฤติการณ์การกระทำความผิดดังกล่าวของห้างหุ้นส่วนจำกัด เป็นความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน” อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาและพระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. 2527 ปัจจุบันกรมสอบสวนคดีพิเศษรับเป็นคดีพิเศษที่ คดีอยู่ระหว่างสอบสวนของพนักงานสอบสวน อันเข้าลักษณะเป็นความผิดมูลฐานตามมาตรา 3 (3) แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 และกรณีมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าห้างหุ้นส่วนจำกัด ได้ไปซึ่งทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดดังกล่าว
ในการนี้ เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ในการประชุมคณะกรรมการธุรกรรม ครั้งที่ 10/2565 เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2565 ที่ประชุมมีมติมอบหมายพนักงานเจ้าหน้าที่เพื่อดำเนินการตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 ประกอบกับคำสั่งเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ลับ ที่ ม.576/2565 ลงวันที่ 4 พฤศจิกายน 2565 เรื่อง มอบหมายพนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจสอบธุรกรรมหรือทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด รายห้างหุ้นส่วนจำกัด และคำสั่งเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ลับ ที่ ม.962/2565 ลงวันที่ 26 ธันวาคม 2565 เรื่อง มอบหมายพนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจสอบธุรกรรมหรือทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด (เพิ่มเติม) รายห้างหุ้นส่วนจำกัด และคำสั่งเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ลับ ที่ ม.725/2566 ลงวันที่ 13 พฤศจิกายน 2566 เรื่อง มอบหมายพนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจสอบธุรกรรมหรือทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด (เพิ่มเติม) รายห้างหุ้นส่วนจำกัด
พนักงานเจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการตรวจสอบรายงานการทำธุรกรรม หรือข้อมูลเกี่ยวกับการทำธุรกรรมของบุคคลดังกล่าวแล้ว ปรากฏหลักฐานเป็นที่เชื่อได้ว่า ห้างหุ้นส่วนจำกัด มีพฤติการณ์แห่งการกระทำความผิดเกี่ยวกับฉ้อโกงประชาชน อันเข้าลักษณะเป็นความผิดมูลฐานตามมาตรา 3 (3) แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 หรือเป็นผู้ซึ่งเกี่ยวข้องหรือเคยเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับผู้กระทำความผิดมูลฐาน และจากการตรวจสอบข้อมูลการทำธุรกรรมหรือทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด รวมทั้งจากการรวบรวมพยานหลักฐาน ปรากฏว่าบุคคลดังกล่าวได้ไปซึ่งทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด จำนวน 264 รายการ พร้อมดอกผล
และเนื่องจากทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดในคดีนี้ ประกอบด้วยอสังหาริมทรัพย์ ประเภทที่ดินตามโฉนดที่ดิน และห้องชุดตามหนังสือแสดงกรรมสิทธิ์ห้องชุด อันเป็นทรัพย์สินที่ปรากฎหลักฐานในทางทะเบียน ในการเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์หรือผู้มีสิทธิครอบครองโดยผู้มีชื่อเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์หรือผู้มีสิทธิครอบครอง อาจดำเนินการทางนิติกรรมโอนเปลี่ยนแปลงชื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์หรือผู้มีสิทธิครอบครองในทางทะเบียนได้ สังหาริมทรัพย์ประเภทโทรศัพท์มือถือ เครื่องประดับ อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องแต่งกาย ชิ้นส่วนรถ อันเป็นทรัพย์สินที่ไม่ปรากฏหลักฐานในทางทะเบียน โดยเจ้าของหรือผู้ครอบครองสามารถโอน จำหน่าย ยักย้าย ปกปิด หรือซ่อนเร้นได้โดยง่าย สังหาริมทรัพย์ประเภทรถยนต์ รถจักรยานยนต์ อันเป็นทรัพย์สินที่ปรากฏหลักฐานในทางทะเบียนในการควบคุม การเสียภาษี หรือการเป็นผู้ครอบครองทรัพย์สินดังกล่าว โดยผู้มีชื่อเป็นผู้ครอบครองอาจดำเนินการโอนเปลี่ยนแปลงชื่อผู้มีสิทธิครอบครองในทางทะเบียนได้โดยง่าย และสังหาริมทรัพย์ประเภทเงินในบัญชีเงินฝากธนาคาร สิทธิเรียกร้องในกรมธรรม์ สินทรัพย์ดิจิทัลในบัญชีซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล อันเป็นทรัพย์สินที่สามารถโอน ยักย้าย ปกปิด หรือซ่อนเร้นได้โดยง่าย
หากมิได้มีการออกคำสั่งให้อายัดทรัพย์สินดังกล่าวไว้ชั่วคราว เมื่อเจ้าของหรือผู้มีส่วนได้เสียหรือผู้มีสิทธิในทรัพย์สินดำเนินการโอน จำหน่าย ยักย้าย ปกปิด หรือซ่อนเร้น ทรัพย์สินดังกล่าวไปเสีย และหากต่อมาศาลได้มีคำสั่งให้ทรัพย์สินดังกล่าวตกเป็นของแผ่นดิน สำนักงาน ปปง. อาจไม่สามารถติดตามทรัพย์สินดังกล่าวกลับคืนมาได้ จึงเป็นกรณีที่มีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าห้างหุ้นส่วนจำกัด พี มายเนอร์ได้ไปซึ่งทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดและอาจมีการโอน จำหน่าย ยักย้าย ปกปิด หรือซ่อนเร้นทรัพย์สินดังกล่าว
@ สั่งยึดอายัดทรัพย์ ชั่วคราว 264 รายการ
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 34 (3) และมาตรา 48 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มติคณะกรรมการธุรกรรมในการประชุม ครั้งที่ 10/2568 เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2568 และระเบียบคณะกรรมการธุรกรรมว่าด้วยการรับเรื่องการตรวจสอบ การพิจารณาดำเนินการ และการควบคุมตรวจสอบการปฏิบัติงานของพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2556 ข้อ 25
คณะกรรมการธุรกรรม จึงมีคำสั่งยึดและอายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดไว้ชั่วคราว จำนวน 264 รายการ พร้อมดอกผล มีกำหนดไม่เกิน 90 วัน (เก้าสิบวัน) นับตั้งแต่วันที่คณะกรรมการธุรกรรมมีมติ กล่าวคือ นับตั้งแต่วันที่ 11 กันยายน 2568 ถึงวันที่ 4 ธันวาคม 2568 โดยมีรายการทรัพย์สินที่ยึดและอายัดปรากฏตามบัญชีทรัพย์สินแนบท้ายคำสั่งนี้
ทั้งนี้ ให้รวมถึงเงินหรือทรัพย์สินที่ได้มาจากการจำหน่าย จ่าย โอนด้วยประการใด ๆ ซึ่งทรัพย์สินดังกล่าวหรือสิทธิเรียกร้องหรือผลประโยชน์หรือดอกผลของเงินหรือทรัพย์สินดังกล่าวด้วย





Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา