
ภาคีเครือข่ายฯ ออกแถลงการณ์จี้ สว.เร่งพิจารณาร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ ให้ทันก่อนนายกฯ ยุบสภา ยันกฎหมายไม่ได้ซ้ำซ้อน ย้ำสุขภาพประชาชนสำคัญกว่ากำไร
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ 20 พ.ย. 2568 ภาคีเครือข่ายอากาศสะอาด ประเทศไทย ซึ่งเป็นการรวมตัวขององค์กรกว่า 60 แห่ง ได้ออกแถลงการณ์แสดงจุดยืนเพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับ ร่างพระราชบัญญัติบริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด พ.ศ. …. (พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ) พร้อมเรียกร้องอย่างเร่งด่วนให้วุฒิสภา (สว.) เร่งพิจารณากฎหมายฉบับนี้โดยเร็วที่สุด โดยมีนายสาวิทย์ แก้วหวาน ประธานสมาพันธ์สมานฉันท์แรงงานไทย ผู้อ่านแถลงการณ์
การแถลงการณ์ครั้งนี้มีขึ้นชี้แจงข้อเท็จจริงหลังจากคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ได้แถลงจุดยืนแสดงความกังวลเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2568
ภาคีเครือข่ายอากาศสะอาด ระบุว่า กฎหมายฉบับนี้คือ ความหวังในการแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศเชิงโครงสร้างของประเทศ หากกฎหมายนี้สำเร็จ ประชาชนจะสามารถใช้ชีวิตกลางแจ้งได้อย่างสบายใจ ไม่ต้องหมดเงินไปกับเครื่องฟอกอากาศ หน้ากากอนามัย และค่ารักษาพยาบาล
สำหรับการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ ในชั้นกรรมาธิการวิสามัญของวุฒิสภาเริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2568 หลังจากที่วุฒิสภารับหลักการเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2568 โดยมีเวลาที่กระชั้นชิดในการทำงานเหลือไม่ถึงสามเดือน เนื่องจากคาดการณ์ว่านายกรัฐมนตรีอาจจะยุบสภาในวันที่ 29 มกราคม 2569 ถึงแม้จะเป็นวาระเร่งด่วน แต่คณะกรรมาธิการวิสามัญของวุฒิสภาไม่ได้มีท่าทีเร่งรีบในการพิจารณา
หากการพิจารณายืดเยื้อออกไปจนถึงการยุบสภา ร่างกฎหมายอากาศสะอาดจะต้องตกไป ซึ่งจะส่งผลให้ประชาชนคนไทยต้องเผชิญกับวิกฤตสุขภาพและคุณภาพชีวิตซ้ำแล้วซ้ำเล่า จึงมีข้อเรียกร้องต่อวุฒิสภา ดังนี้
-
โปรดคำนึงถึงผลประโยชน์สูงสุดของประชาชน โดยเฉพาะในแง่สุขภาพและสิ่งแวดล้อม
-
โปรดเร่งรัดการพิจารณา ร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ ในวาระ 2 และ 3 ให้เสร็จสิ้นโดยเร็วที่สุด โดยคำนึงถึงฤดูกาลฝุ่นพิษที่กำลังมาถึง
-
โปรดอย่าปล่อยให้ร่างกฎหมายเพื่อชีวิตของประชาชนชาวไทยต้องตกไปในมือของท่าน เพราะการยุบสภา
-
สมาชิกวุฒิสภาคือ ความหวัง ที่จะส่งมอบกฎหมายฉบับนี้เป็นของขวัญปีใหม่แก่คนไทย
นอกจากนี้ ภาคีเครือข่ายอากาศสะอาด ได้ชี้แจง 5 ประเด็นหลักที่เกิดจากการแถลงข่าวของ กกร.เพื่อแก้ไขความเข้าใจคลาดเคลื่อน
1. ความซ้ำซ้อนของกฎหมาย
ภาคีเครือข่ายอากาศสะอาด ระบุว่า ร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ ไม่ได้ซ้ำซ้อนกับกฎหมายที่มีอยู่เดิม แต่ทำหน้าที่อุดช่องโหว่ และบูรณาการกฎหมายเดิมซึ่งกระจัดกระจายและไม่เพียงพอต่อการแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศซึ่งเป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง
2. การมีส่วนร่วมของภาคเอกชนในคณะกรรมการ
ภาคีเครือข่ายอากาศสะอาด ชี้แจงว่า ภาคธุรกิจเอกชนสามารถเข้าร่วมในคณะกรรมการนโยบายเพื่ออากาศสะอาดและคณะกรรมการอากาศสะอาดจังหวัดได้อยู่แล้ว เนื่องจากร่างกฎหมายกำหนดให้ภาคธุรกิจเอกชนเป็นองค์ประกอบบังคับ การที่ไม่ระบุชื่อองค์กรใดองค์กรหนึ่งเป็นการเฉพาะ มีวัตถุประสงค์เพื่อ เปิดกว้างให้ภาคธุรกิจเอกชนที่หลากหลาย (ทั้งขนาดเล็ก กลาง ใหญ่) สามารถเข้าร่วมได้อย่างทั่วถึง และ ไม่มีการผูกขาด
3. เครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์และต้นทุนทางธุรกิจ
ภาคีเครือข่ายอากาศสะอาด ระบุว่า ข้อกังวลว่าจะสร้างภาระต้นทุนทันทีเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน ร่างกฎหมายได้บัญญัติถึง มาตรการสนับสนุน ส่งเสริม และช่วยเหลือด้านเทคโนโลยี เช่น การให้เงินอุดหนุน และเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ ไว้เป็นระบบ หลักการนี้ไม่ได้มุ่งเป้าเพื่อลงโทษหรือสร้างต้นทุน แต่เป็นการสร้างระบบนิเวศที่ยุติธรรม เพื่อสนับสนุนพฤติกรรมที่ดีต่อคุณภาพอากาศ และสร้างความรับผิดชอบตามหลัก ผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย
4. การจัดตั้งกองทุนอากาศสะอาด
ภาคีเครือข่ายอากาศสะอาด ชี้แจงว่า ร่างกฎหมายมีหน้าที่เพียงวาง กรอบหลักการ วัตถุประสงค์ และกรอบการใช้จ่ายเท่านั้น เพื่อให้เกิดความยืดหยุ่น ส่วนการกำหนดรายละเอียดทางปฏิบัติ เช่น สัดส่วนการจัดสรรเงิน เป็นอำนาจหน้าที่ของ ฝ่ายบริหาร ที่จะดำเนินการผ่านคณะกรรมการที่ทำหน้าที่บริหารกองทุน นอกจากนี้ ร่างกฎหมายฉบับภาคประชาชนยังผ่านการกลั่นกรองตามขั้นตอนสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการกำกับดูแลทุนหมุนเวียนแล้ว เนื่องจากได้รับคำรับรองจาก นายเศรษฐา ทวีสิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในขณะนั้น (ซึ่งต่อมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี)
5. อัตราโทษและบทกำหนดโทษ
ภาคีเครือข่ายอากาศสะอาด อธิบายว่า กฎหมายมีทั้ง มาตรการจูงใจ (Carrot) และบทลงโทษ (Stick) ผู้ประกอบการที่มีพฤติกรรมดีและให้ความร่วมมือจะได้รับประโยชน์จากมาตรการจูงใจ ส่วนอัตราโทษสูงจะมุ่งเป้าไปที่ ผู้ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายและยังคงสร้างผลกระทบต่อส่วนรวมเท่านั้น การกำหนดบทลงโทษคำนึงถึงหลักความได้สัดส่วนเปรียบเทียบกับความร้ายแรงของผลกระทบทางเศรษฐศาสตร์และสังคมที่เกิดจาก PM 2.5 ที่ผู้ประกอบการรายนั้น ๆ สร้างขึ้น
ภาคีเครือข่ายอากาศสะอาด ยังได้เรียกร้องไปยัง กกร. ให้ทบทวนจุดยืนและยุติการคัดค้านร่างกฎหมาย โดยขอให้เปลี่ยนมุมมองว่า กฎหมายนี้คือ การสนับสนุน ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเพื่อผลประโยชน์ของประชาชน มิใช่ ภาระ และการลงทุนเพื่ออากาศสะอาดคือ การลงทุนเพื่อความมั่นคงและประสิทธิภาพในการดำเนินงานของธุรกิจโดยตรง โดยเฉพาะในการดูแล แรงงาน ซึ่งเป็นทรัพยากรที่สำคัญที่สุดของธุรกิจ
"มาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมได้กลายเป็น ใบอนุญาตทางการค้า ในเวทีโลก และกฎหมายอากาศสะอาดคือ การลงทุนระยะยาว ที่จะยกระดับภาคธุรกิจไทยให้สามารถแข่งขันได้ในเวทีโลก" ภาคีเครือข่ายอากาศสะอาด ระบุ
ทางด้าน รศ.คนึงนิจ ศรีบัวเอี่ยม นายกสมาคมเครือข่ายอากาศสะอาด และรองประธานคณะกรรมาธิการ ร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ คนที่ 4 วุฒิสภา กล่าวในฐานะตัวแทนภาคประชาชนที่เสนอร่างกฎหมาย (ด้วยลายชื่อกว่า 20,000 รายชื่อ) ยืนยันว่า กฎหมายฉบับนี้ไม่ได้เป็นภาระ แต่การแก้ไขปัญหาจำเป็นต้องเป็น การแก้เชิงระบบ ที่เกี่ยวข้องกับปัญหาเชิงโครงสร้างและความรุนแรงเชิงวัฒนธรรม เธอยังเตือนด้วยว่า หากมีการปรับแก้ไขหรือบิดเบือนกลไกสำคัญ เช่น กองทุนอากาศสะอาด จะทำให้กฎหมายถูกลดทอนประสิทธิภาพ และจะกระทบย้อนหลังไปที่สิทธิในหมวด 1 เพราะสิทธิหลายอย่างจะไม่บังเกิด หากองค์ประกอบต่าง ๆ ของกฎหมายไม่เชื่อมโยงกันทั้งฉบับ
"ระหว่างภาระที่จะทำให้กำไรหดหาย หรือภาระที่ทำให้สุขภาพพี่น้องประชาชนเจ็บป่วย และเสียชีวิตก่อนวัยอันควร ภาระไหนหนักกว่ากัน และสิทธิในอากาศสะอาดเป็นสิทธิมนุษยชนประเภทหนึ่ง ซึ่งนานาอารยประเทศรับรอง" รศ.คนึงนิจ ระบุ
นายสราวุธ สราญวงศ์ รองเลขาธิการฝ่ายวิชาการของสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) กล่าวว่า เรื่องอากาศสะอาดเป็นเรื่องสำคัญของมนุษย์ทุกคน และ พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ จะเป็นการบูรณาการเพื่อส่งเสริมให้ผู้ประกอบการดำเนินธุรกิจโดยมีผลกระทบด้านมลพิษน้อยที่สุด
"ขอให้วุฒิสภาเห็นความสำคัญของกฎหมายฉบับนี้ และเห็นประโยชน์ของส่วนรวม มากกว่าประโยชน์ของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง" นายสราวุธ กล่าว

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา