
'ทรัมป์' คาดหวังไทย-กัมพูชาดำเนินตามพันธกรณีหยุดยิง อียู-UN-อียู-ออสเตรเลีย จี้สองฝ่าย เคารพปฎิญญาสันติภาพ 26 ต.ค. หลังเหตุปะทะ ด้าน ‘ฮุน เซน’ ประกาศลั่นกัมพูชาได้เปรียบเพราะมีบังเกอร์ที่แข็งแกร่ง ด้านทัพภาค 2 เผยสถานการณ์ฝ่ายกัมพูชาใช้ BM-21 โดรนพลีชีพระดมโจมตีตลอดช่วงเช้ามืดที่ช่องบก ปราสาทตาควาย ปราสาทคนา ปราสาทตาเมือนธม
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานข่าวความขัดแย้งไทยกัมพูชาตลอดช่วงเช้าวันที่ 9 ธ.ค.ว่าสำนักข่าวอนาโดลูของตุรเคียรายงานข่าวว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ คาดหวังว่ากัมพูชาและไทยจะปฏิบัติตามพันธกรณีหยุดยิงอย่างเต็มที่ ภายหลังเกิดการปะทะกันอย่างรุนแรงตามแนวชายแดนที่เป็นข้อพิพาท
โดยเจ้าหน้าที่บริหารระดับสูงของทำเนียบขาวกล่าวกับอานาโดลูเมื่อวันจันทร์ที่ 8 ธ.ค.ว่า“ประธานาธิบดีทรัมป์มุ่งมั่นที่จะยุติความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง และคาดหวังว่ารัฐบาลกัมพูชาและไทยจะรักษาพันธกรณีของตนในการยุติความขัดแย้งนี้อย่างเต็มที่”
แถลงการณ์ดังกล่าวออกมาในขณะที่ไทยเปิดฉากโจมตีทางอากาศในช่วงเช้าตรู่ของวันจันทร์ เพื่อตอบโต้การโจมตีของกองกำลังกัมพูชาก่อนหน้านี้ ซึ่งทำให้ทหารไทยเสียชีวิตและบาดเจ็บอีกหลายคน อีกทั้งยังเป็นภัยคุกคามต่อข้อตกลงหยุดยิงที่ยังไม่แน่นอนซึ่งลงนามเมื่อเดือนตุลาคมที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ โดยมีทรัมป์และอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย เป็นสักขีพยาน
ความตึงเครียดระหว่างประเทศเพื่อนบ้านเพิ่มสูงขึ้นเมื่อเดือนที่แล้ว หลังจากที่ไทยระงับมาตรการลดความตึงเครียด หลังจากเกิดเหตุระเบิดทุ่นระเบิดที่จังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งทำให้ทหารไทยได้รับบาดเจ็บ 4 นาย ในเดือนกรกฎาคม กัมพูชาและไทยตกลงหยุดยิงโดยไม่มีเงื่อนไขในการประชุมไตรภาคีที่นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซียเป็นเจ้าภาพ ซึ่งถือเป็นการยุติการสู้รบบริเวณชายแดนที่ยืดเยื้อมานานหลายสัปดาห์
ขณะที่สำนักข่าว Kiri Post ของกัมพูชารายงานข่าวว่าองค์การสหประชาชาติ (UN) สหภาพยุโรป (EU) และออสเตรเลีย เรียกร้องให้กัมพูชาและไทยกลับมามุ่งมั่นต่อข้อตกลงสันติภาพร่วมที่ลงนามเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม หลังจากการปะทะด้วยอาวุธที่เกิดขึ้นใหม่ตามแนวพรมแดนที่เป็นข้อพิพาทของทั้งสองประเทศ เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม
โดยนางอานิตตา ฮิปเปอร์ โฆษกของสหภาพยุโรปด้านกิจการต่างประเทศและนโยบายความมั่นคง กล่าวว่า การยิงปะทะกันระหว่างกัมพูชาและไทยเมื่อเร็วๆ นี้ ถือเป็นการยกระดับการสู้รบ
“สหภาพยุโรปเรียกร้องให้ทั้งสองประเทศใช้ความยับยั้งชั่งใจอย่างเต็มที่และกลับไปใช้ปฏิญญาร่วมที่ลงนามเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม และมาตรการสร้างความเชื่อมั่นที่ระบุไว้ในปฏิญญาดังกล่าว” นางฮิปเปอร์กล่าวและกล่าวเสริมว่าสหภาพยุโรปพร้อมที่จะสนับสนุนมาตรการที่ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบเพื่อลดระดับความรุนแรง รวมถึงการกู้ระเบิดเพื่อมนุษยธรรม
ด้านนายอันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ ยังได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับรายงานการปะทะด้วยอาวุธที่เกิดขึ้นใหม่ระหว่างกัมพูชาและไทย
“ผมขอเรียกร้องให้ทั้งสองฝ่ายใช้ความอดทนอดกลั้นและหลีกเลี่ยงการยกระดับความขัดแย้งขึ้นอีก มุ่งมั่นในการหยุดยิงและใช้กลไกการเจรจาทุกรูปแบบเพื่อหาทางออกที่ยั่งยืนต่อข้อพิพาทโดยสันติวิธี” กูเตอร์เรสกล่าวเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม และกล่าวเสริมว่าสหประชาชาติพร้อมที่จะสนับสนุนความพยายามทั้งหมดที่มุ่งส่งเสริมสันติภาพ เสถียรภาพ และการพัฒนาในภูมิภาค ตามแถลงการณ์ของกระทรวงการต่างประเทศและการค้า
เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม เช่นเดียวกัน รัฐบาลออสเตรเลียได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับความตึงเครียดที่เพิ่มมากขึ้นและรายงานเกี่ยวกับการสูญเสียชีวิตตามแนวชายแดนกัมพูชา-ไทย โดยเรียกร้องให้ทั้งสองฝ่ายยึดมั่นตามข้อตกลงหยุดยิงเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม ใช้ความอดทนอดกลั้นสูงสุด และดำเนินขั้นตอนเร่งด่วนเพื่อลดระดับสถานการณ์
“เราขอให้ทั้งสองฝ่ายปฏิบัติตามพันธกรณีภายใต้ปฏิญญาร่วมกัวลาลัมเปอร์ ซึ่งได้รับการอำนวยความสะดวกโดยประธานาธิบดีทรัมป์และนายกรัฐมนตรีอันวาร์ในฐานะประธานอาเซียน สร้างความไว้วางใจและความเชื่อมั่นขึ้นมาใหม่ และแสวงหาการแก้ไขข้อพิพาทเรื่องพรมแดนอย่างสันติและยั่งยืน” แถลงการณ์รัฐบาลออสเตรเลียระบุ
ส่วนความเคลื่อนไหวของนายฮุน เซน ประธานวุฒิสภาและอดีตนายกรัฐมตรีกัมพูชา นายฮุน เซนได้ออกแถลงการณ์ที่มีถ้อยคำรุนแรงผ่านโซเชียลมีเดีย ท้าทายผู้นำกองทัพไทยต่อสาธารณะ และให้คำมั่นว่าจะตอบโต้อย่างรุนแรง หลังจากที่กัมพูชายุติความอดทนในการให้คำมั่นหยุดยิงเป็นเวลา 24 ชั่วโมง
โดยโพสต์ที่แชร์บนหน้าเฟซบุ๊กอย่างเป็นทางการของนายฮุน เซน ยืนยันว่ากองกำลังกัมพูชาได้เปิดฉากโจมตีตอบโต้อีกครั้ง และประณามสิ่งที่เขาเรียกว่าวาทกรรม "แข็งแกร่งกว่ามหาอำนาจโลก" ของนายพลไทย
นายฮุน เซน กล่าวถึงรายงานเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ทางทหารของไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการอ้างอิงถึงแถลงการณ์ของนายอนุทิน ชาญวีรกุล นายกรัฐมนตรีไทย เกี่ยวกับการยึดจุดพิพาท 11 จุด
“ตามที่นายกรัฐมนตรีอนุทินของไทยกล่าว เขาประกาศว่าจะใช้กำลังเข้ายึด 11 จุด แม้ว่าเราจะยังไม่ทราบแน่ชัดว่า 11 จุดเหล่านี้อยู่ที่ไหน” นายฮุนเซนกล่าวและกล่าวต่อไปว่า
“เพื่อให้ง่ายและไม่ยากที่จะหาตำแหน่ง กองกำลังติดอาวุธของเราทุกประเภทต้องโจมตีกลับในทุกจุดที่ข้าศึกโจมตี เรากำลังปกป้องดินแดนของเราด้วยบังเกอร์ที่แข็งแกร่งและอาวุธทุกประเภท ในขณะเดียวกัน ศัตรูผู้รุกรานต้องระดมพลเพื่อโจมตีตำแหน่งของเรา พวกเขาไม่สามารถนำบังเกอร์ติดตัวไปได้ และหัวของพวกเขาก็ไม่ได้ทำด้วยเหล็กอย่างแน่นอน สถานการณ์เช่นนี้ทำให้เราได้เปรียบในการดำเนินกลยุทธ์การทำลายล้างกำลังคนของศัตรูผ่านการต่อต้านที่เป็นระบบ”
นายฮุน เซนยังได้วิจารณ์นายพลไทยรายหนึ่ง ซึ่งประกาศว่าต้องทำลายความสามารถในการป้องกันของกองกำลังกัมพูชาในระยะยาว เพื่อประกันความมั่นคงของไทยว่า คำพูดของนายพลท่านนั้นทรงพลังยิ่งกว่าคำพูดของมหาอำนาจทางทหารและอาวุธของโลก เราจะไม่นิ่งเฉยและปล่อยให้พวกเขาทำลายล้างตามใจชอบอย่างแน่นอน
สำหรับสภานการณ์สู้รบเพิ่มเติมในวันที่ 9 ธ.ค.มีรายงานสรุปจากกองทัพภาค 2 (ทภ.2) ว่า ตั้งแต่เวลา 04.50 ของวันนี้ (9 ธ.ค.) ทหารกัมพูชาเปิดฉากโจมตีฝ่ายเราอย่างต่อเนื่องจรวดหลายลำกล้อง BM-21 พร้อมใช้โดรนทิ้งระเบิด โดรนพลีชีพใส่ฐานและที่มั่นของฝ่ายเราในหลายแนวรบตั่งแต่ช่องบก ปราสาทตาควาย ปราสาทคนา อย่างหนาแน่น โดยเฉพาะพื้นที่ภูมะเขือ ปราสาทตาเมือนธมฝ่ายกัมพูชามีความพยายามอย่างหนักเพื่อจะทำการยึดคืน
นอกจากนั้นยังมีกระสุน BM-21 มาตกในพื้นที่บ้านเรือนประชาชน ฝ่ายเราตอบโต้ด้วยอาวุธยิงเล็งตรง อาวุธวิธีโค้ง และยังสามารถควบคุมพื้นที่หลัก ตอบโต้ได้ตามแผน และสร้างความเสียหายต่อขีดความสามารถของฝ่ายตรงข้ามได้อย่างมีนัยสำคัญ
คณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน (AOT-TH) ได้ลงพื้นที่เยี่ยมผู้ป่วยที่โรงพยาบาลค่ายสรรพประสิทธิประสงค์ และสอบถามเหตุการณ์ จากผู้ได้รับบาดเจ็บซึ่งถูกซุ่มยิงที่ฐานภูผาเหล็ก อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ
สำหรับการอพยพประชาชน ปัจจุบันในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดน ได้เปิดศูนย์พักพิงชั่วคราว จำนวน 492 แห่ง ประชาชน จำนวน 125,838 คน ประกอบด้วย จังหวัด อุบลราชธานี จำนวน 22,580 คน จังหวัดศรีษะเกษจำนวน 45,914 คน จังหวัดสุรินทร์จำนวน 51,781 คน และจังหวัดบุรีรัมย์ จำนวน 5,563 คน
ยอดอพยพประชาชนกลุ่มเปาะบาง จำนวน 75 จุด ประชาชน จำนวน 3,123 คน ประกอบด้วย จังหวัด อุบลราชธานี จำนวน 114 คน จังหวัดศรีษะเกษจำนวน 77 คน จังหวัดสุรินทร์จำนวน 2,632 คน และจังหวัดบุรีรัมย์ จำนวน 300 คน
ส่วนการช่วยเหลือประชาชนกรมการสัตว์ทหารบกสนับสนุนฟ่อนหญ้าแห้งอาหารสัตว์เลี้ยง เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบ จำนวน 12,000 ฟ่อน (24,000 กก.)

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา