
‘ศาลชั้นต้น’ ยกฟ้อง คดี ‘สมาคมประมงพื้นบ้านฯ’ ขอบังคับ‘บ.สตาร์ ปิโตรเลียมฯ’ ฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม-ชดใช้สินไหมฯ 5 พันล้าน ปมน้ำมันดิบ ‘รั่วไหล’ ชี้ ‘โจทก์’ ไม่มีอำนาจฟ้อง-ผลศึกษาฯระบุน้ำมันดิบรั่วไหล มิได้ทำให้ปริมาณ ‘สัตว์น้ำ’ ลดลง อันเป็นเหตุให้ขาดรายได้-เสียโอกาสประกอบอาชีพ
.........................................
เมื่อวันที่ 22 ธ.ค. เวลา 09.00 น. ศาลจังหวัดระยอง นัดฟังคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ สวพ.5/2566 ระหว่าง สมาคมประมงพื้นบ้านท้องถิ่นจังหวัดระยอง ที่ 1 กับพวกรวม 832 คน โจทก์ และบริษัทสตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (มหาชน) ที่ 1 กับพวกรวม 2 คน จำเลย โดยโจทก์ทั้ง 832 คน ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันรับผิดและชำระค่าสินไหมทดแทนต่อโจทก์ในมูลละเมิด และตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ.2535
โดยศาลพิจารณาพยานหลักฐานของคู่ความทั้งสองฝ่ายแล้ว ในประเด็นที่โจทก์ทั้ง 832 คน ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาบังคับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันแก้ไขฟื้นฟูแหล่งเพาะพันธุ์และอนุบาลสัตว์น้ำและแก้ไขฟื้นฟูสภาพแวดล้อมระบบนิเวศทางทะเลและชายฝั่งทะเลที่ได้รับความเสียหาย และร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนมูลค่าความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมทางทะเลและชายฝั่ง เป็นเงิน 5,000 ล้านบาทนั้น
กรณีไม่มีกฎหมายใดให้อำนาจโจทก์ทั้ง 832 คน ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองในเรื่องดังกล่าวได้ โจทก์ทั้ง 832 คนจึงไม่มีอำนาจฟ้อง
ในประเด็นต่อไปว่า จำเลยทั้งสองต้องร่วมกันรับผิดต่อโจทก์ทั้ง 832 คนหรือไม่ เพียงใดนั้น จำเลยที่ 1 เป็นผู้ครอบครองน้ำมันดิบที่รั่วไหลซึ่งเป็นทรัพย์อันเป็นของเกิดอันตรายได้โดยสภาพ ต้องรับผิดชอบเพื่อการเสียหายอันเกิดแต่น้ำมันดิบที่รั่วไหลหากส่งผลกระทบให้โจทก์ทั้ง 832 คนขาดรายได้และเสียโอกาสในการประกอบอาชีพในอนาคต
ส่วนการใช้สารเคมีขจัดคราบน้ำมันสำหรับฉีดพ่นคราบน้ำมันที่รั่วไหลของจำเลยที่ 1 กรณีไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 1 ฉีดพ่นสารเคมีขจัดคราบน้ำมันไม่เป็นไปแผนป้องกันและขจัดมลพิษทางน้ำเนื่องจากน้ำมันแห่งชาติ ประกอบกับเป็นการดำเนินการตามที่มีการขออนุญาตจากกรมควบคุมมลพิษเพื่อป้องกันคราบน้ำมันจะเข้าสู่ชายฝั่งใกล้พื้นที่อ่อนไหว จึงไม่เป็นการทำละเมิดต่อโจทก์ทั้ง 832 คน จำเลยที่ 1 ไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนที่สืบเนื่องจากการใช้สารเคมีขจัดคราบน้ำมัน
ส่วนจำเลยที่ 2 มิใช่ผู้บริหารจัดการทุ่นรับน้ำมันกลางทะเล น้ำมันดิบที่รั่วไหลมิใช่ของจำเลยที่ 2 และมิได้อยู่ในความครอบครองของจำเลยที่ 2 จึงไม่มีหน้าที่ในการดูแล ซ่อมแซม และบำรุงรักษาการใช้ทุ่นรับน้ำมันกลางทะเลและอุปกรณ์ที่ใช้ขนถ่ายน้ำมันดิบ จำเลยที่ 2 ไม่ได้ทำละเมิดและไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ทั้ง 832 คน
ส่วนประเด็นที่ว่าโจทก์ทั้ง 832 คน เสียหายเพียงใดนั้น โจทก์ทั้ง 832 คนไม่มีข้อมูลหรือสถิติของพันธุ์สัตว์น้ำ สัตว์น้ำสำคัญ สัตว์ประจำถิ่น และภาวะการเจริญพันธุ์ของสัตว์ดังกล่าวในช่วงก่อนและหลังเกิดเหตุการณ์น้ำมันดิบรั่วไหลมานำสืบให้เห็นถึงความแตกต่าง ไม่มีงานวิจัยที่เกี่ยวข้องมาสนับสนุน
ทั้งข้อมูลสถิติปริมาณและมูลค่าสัตว์น้ำเค็มที่ขึ้นที่ท่าเทียบเรือในจังหวัดระยอง และสถิติจำนวนและรายได้ผู้เยี่ยมเยือนชาวไทยและชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาในจังหวัดระยองบ่งชี้ว่า เหตุการณ์น้ำมันดิบรั่วไหลมิได้ส่งผลกระทบต่อการจับสัตว์น้ำและมิได้ส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวและการใช้จ่ายในจังหวัดระยองลดลง
ประกอบโจทก์ทั้ง 832 คน ไม่มีพยานหลักฐานอื่นใดมาสนับสนุนว่ารายได้ รายรับ รายจ่าย ค่าใช้จ่าย และผลประกอบการสุทธิที่ระบุไว้ในเอกสารที่โจทก์แต่ละรายกล่าวอ้างถูกต้องตามความเป็นจริงหรือไม่ ไม่น่าเชื่อว่าโจทก์แต่ละรายจะมีรายได้ รายรับ รายจ่าย ค่าใช้จ่าย และผลประกอบการสุทธิตามที่นำสืบมา
นอกจากนี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์ทางทะเลและสมุทรศาสตร์จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยที่เข้ามาศึกษา วิจัย และจัดทำโครงการเพื่อประเมินผลกระทบที่จะเกิดขึ้นสรุปผลความก้าวหน้าของโครงการศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมจากเหตุการณ์น้ำมันดิบรั่วไหลซึ่งบ่งชี้ให้เห็นว่า มิได้ทำให้ปริมาณสัตว์น้ำ สัตว์ประจำถิ่น ความอุดมสมบูรณ์และความหลากหลายของพันธุ์สัตว์น้ำ รวมทั้งภาวะการณ์เจริญพันธุ์ลดลง อันจะทำให้โจทก์ทั้ง 832 คนขาดรายได้และเสียโอกาสในการประกอบอาชีพในอนาคตตามที่โจทก์ทั้ง 832 คนกล่าวอ้าง
จำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนและค่าเสียโอกาสในการประกอบอาชีพในอนาคตตามฟ้องแก่โจทก์ทั้ง 832 คน
พิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีให้เป็นพับ ทั้งนี้ คำพิพากษาชั้นนี้เป็นคำพิพากษาศาลชั้นต้น ตามสิทธิกฎหมายคู่ความอุทธรณ์ได้

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา