ประธานมูลนิธิสถาบันวิชาการ 14 ตุลาฯ ชี้ภารกิจและความฝันคนเดือนตุลายังไม่จบสิ้น การเมืองยังไม่เป็นประชาธิปไตย-ประชาชนยังไม่อยู่ดีกินดี ต้องสานต่อ
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า วันที่ 15 ตุลาคม 2566 มูลนิธิสถาบันวิชาการ 14 ตุลา จัดสัมมนาทางวิชาการครั้งที่ 5 50 ปี 14 ตุลา “จังหวะก้าวการพัฒนาทีสมดุล ต่อเนื่อง มั่นคง และรอบด้าน” มีบรรดาอดีตผู้นำนักศึกษายุค 14 ตุลา 2516 และ 6 ตุลา 2519 อดีตนักการเมือง และอดีตผู้นำในภาคส่วนต่างๆ พร้อมประชาชนจำนวนมากเข้าร่วมงาน อาทิ นายชั่งทอง โอภาสศิริวิทย์ อดีตตุลาการหัวหน้าคณะศาลปกครองสูงสุด นายสุชน ชาลีเครือ อดีตประธานวุฒิสมาชิก นายปราโมทย์ นาครทรรพ นักวิชาการอิสระ นายพงษ์ศักดิ์ พยัคฆวิเชียร นักหนังสือพิมพ์อาวุโส และนายไพศาล พืชมงคล นักคิดอิสระ
นายพีรพล ติรยะเกษม ประธานมูลนิธิสถาบันวิชาการ 14 ตุลา และอดีตประธานสโมสรนักศึกษามหาวทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวตอนหนึ่งในการเปิดสัมมนาว่า 14 ตุลา เป็นเหตุการณ์สำคัญของประเทศ และเป็นครั้งเดียวในประวัติศาสตร์ของประเทศไทยที่ประชาชนทั้งประเทศเห็นตรงกันในการต่อต้านเผด็จการ และที่สำคัญอีกอย่างคือ วีรชน14 ตุลา ได้รับพระราชทานเพลิงศพจากพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ที่ท้องสนามหลวง พร้อมกันนั้นประชาชนยังร่วมกันสร้างอนุสรณ์สถาน นอกจากนี้ในโอกาสเหตุการณ์ 14 ตุลา ครบรอบ 30 ปีทางมูลนิธิยังได้ร่วมกับรัฐบาลนายทักษิณ ชินวัตร เมื่อปี 2546 กำหนดให้วันที่ 14 ตุลาคมเป็นวันประชาธิปไตย แต่ไม่ใช่วันหยุดราชการ
“ในวันนี้ครบรอบ 50 ปี ความใฝ่ฝันที่อยากจะเห็นการเมืองที่มีประชาธิปไตย สังคมและเศรษฐกิจที่ดี ประชาชนกินดีอยู่ดียังไม่บรรลุผล ภารกิจต่างๆยังไม่จบ ควรจะต้องสานภารกิจเหล่านี้ต่อไปเพื่อให้จบในคนรุ่นเราหรือไม่ เพื่อหาทางออกให้กับสังคมไทย”นายพีรพลกล่าวและว่า
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทางมูลนิธิสถาบันวิชาการ 14 ตุลาได้จัดพิมพ์หนังสือเกี่ยวกับเหตุการณ์ 14 ตุลา จำนวน 3 เล่มด้วยกัน เล่มแรกเป็นการพิมพ์ซ้ำเรื่องที่อมธ.พิมพ์ไว้ก่อน เล่ม2 เป็นเรื่อง 50 ปี 14 ตุลา ที่ผู้อยู่ในหตุการณ์ช่วยกันเขียน และเล่มล่าสุด 50 ปี 14ตุลาที่ รศ.ดร.วิทยากร เชียงกูล อดีตคณบดีวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต เป็นผู้เขียน
จากนั้น มีการอ่านแถลงการณ์เนื่องในโอกาสครบรอบ 50 ปี 14 ตุลา ความว่า ตลอดระยะเวลา 50 ปีนับจากเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ 14 ตุลาคม 2516 สังคมไทยได้เปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง ทั้งความคิด การกระทำ และทัศนคติต่อสิ่งต่างๆ ที่มีความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง จนเกิดสภาพที่สังคมไทยพบกับทางเดินที่ตีบตัน ทางเดินที่ไม่กระจ่างชัด และไม่แน่ใจว่าเป้าหมายจะอยู่ที่ใด
ในวันที่ 13 ตุลาคม 2516 นักเรียน นิสิต นักศึกษา และประชาชน ได้แสดงออกถึงพลังความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญ ความเสียสละต่อสังคมและประเทศชาติ โดยร่วมกันเคลื่อนขบวนมวลชนจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์สู่เส้นทางประวัติศาสตร์การเมืองไทย บนถนนราชดำเนินจนถึงลานพระบรมรูปทรงม้า และพัฒนาเหตุการณ์ประชาธิปไตยจนถึงวันที่ 14 ตุลาคม 2516 ที่เกิดการปะทะระหว่างอำนาจเผด็จการทหารกับพลังของนักศึกษาและประชาชนผู้กล้าหาญ
และมาวันนี้ครบรอบ 50 ปีแล้ว มูลนิธิสถาบันวิชาการ 14 ตุลา ในฐานะของมวลชนส่วนหนึ่งในวันนั้น มิได้นิ่งนอนใจต่อระบอบประชาธิปไตยไทย ยังคงมุ่งมั่นที่จะต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพ ประชาธิปไตยของไทยอย่างไม่หยุดยั้งและรั้งรอ 50 ปีของสายธารประวัติศาสตร์ประชาธิปไตยได้แสดงอย่างชัดเจนแล้วว่า ภารกิจของประชาชนยังไม่สิ้นสุด และต้องมั่นคงในเส้นทางต่อๆไปจนกว่าจะบรรลุเจตนารมณ์
1.เส้นทางประชาธิปไตยจะมุ่งสู่ประชาธิปไตยอัตลักษณ์ไทย
2.เส้นทางประชาชนจะมุ่งสู่การสร้างความเป็นธรรมในสังคม เพื่อแก้ไขความทุกข์ลำเค็ญของประชาชน
3.เส้นทางประชาชาติจะสร้างความเป็นมิตรและความเป็นกลางกับประเทศทั้งปวง ภายใต้ผลประโยชน์ของชาติและความเท่าเทียมของนานาอารยประเทศ
เส้นทางที่ก้าวเดิน แม้จะอุดมด้วยขวากหนามและอุปสรรค แต่จิตวิญญาณ 14 ตุลายังคงมั่น ยั่งยืน ตลอดไป