
กรมอนามัย แนะวิธีแก้ 'ดื่มนมแล้วท้องอืด–ปวดท้อง–ท้องเสีย' ชี้ไม่ใช่แพ้นม แต่ย่อยน้ำตาลแลคโตสได้ไม่ดี ด้าน ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์ฯ ยัน 'นมวัว–นมผง' คุณค่าไม่ต่าง
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ 12 พ.ย. 2568 แพทย์หญิงอัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า การดื่มนมจืด 2 แก้วทุกวันร่วมกับกินอาหารประเภทอื่นครบ 5 หมู่ และหลากหลาย ในปริมาณสัดส่วนที่เหมาะสมตามธงโภชนาการในแต่ละกลุ่มวัย การดื่มนมจะช่วยให้กระดูกและฟันแข็งแรง ช่วยให้มีมวลกระดูกเพิ่มขึ้น ลดความเสี่ยงมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก รวมทั้งยังป้องกันกระดูกพรุนเมื่อเข้าสู่วัยสูงอายุ เพื่อให้ประชาชนหันมาเห็นความสำคัญของการดื่มนม และประโยชน์จากการดื่มนม องค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) จึงกำหนดให้ วันที่ 1 มิถุนายน ของทุกปีเป็น “วันดื่มนมโลก” หรือ “World Milk Day” เพื่อให้ประเทศและองค์กรต่าง ๆ ทั่วโลกเห็นความสำคัญและร่วมกันจัดกิจกรรมรณรงค์ดื่มนม โดยกรมอนามัยร่วมรณรงค์ให้คนไทยทุกวัยดื่มนมทุกวัน ภายใต้แนวคิด “Dairy in Daily Life” สำหรับในกลุ่มเด็กแรกเกิดถึง 6 เดือน นมแม่คืออาหารที่เหมาะสมและดีที่สุด หลังจากนั้นกินนมแม่ควบคู่ไปกับอาหารตามวัยจนถึงอายุ 2-3 ปี
นายแพทย์ปกรณ์ ตุงคะเสรีรักษ์ รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า สำหรับการแก้ปัญหาผู้ที่ดื่มนมแล้วมีอาการปวดท้อง แน่นท้อง ท้องอืด ท้องเสีย มีแก๊สในกระเพาะอาหารหลังดื่มนมหรือผลิตภัณฑ์นม อาจมีความเข้าใจผิดว่า แพ้นม แต่ความจริงแล้วไม่ใช่การแพ้นม (Milk Allergy) ที่เป็นปฏิกิริยาของระบบภูมิคุ้มกัน แต่เกิดจากร่างกายมีภาวะย่อยน้ำตาลแลคโตสบกพร่อง (Lactose Intolerance) ภาวะนี้อาจเกิดจากพันธุกรรมและพบได้บ่อยในชาวเอเชีย แอฟริกา และยุโรปใต้มากกว่ายุโรปเหนือ อีกทั้ง เมื่ออายุมากขึ้นร่างกายผลิตเอนไซม์แลคเตส (Lactase) ลดน้อยลง จึงไม่เพียงพอในการย่อยน้ำตาลแลคโตสในนม จึงส่งผลให้เกิดอาการปวดท้อง แน่นท้อง ท้องเสีย การแก้ไขแนะนำโดยเริ่มดื่มครั้งละน้อยและสามารถเพิ่มเป็นดื่มนม 1 แก้ว ต่อ 1-2 สัปดาห์ และไม่ควรดื่มนมตอนท้องว่าง ควรดื่มนมหลังอาหาร หรือเลือกกินผลิตภัณฑ์นมที่ผ่านการย่อยน้ำตาลแลคโตสบางส่วนโดยจุลินทรีย์ เช่น โยเกิร์ต หรือดื่มนมที่ปราศจากน้ำตาลแลคโตส หรือดื่มนมจากพืชเสริมแคลเซียม
ดร.แพทย์หญิงสายพิณ โชติวิเชียร ผู้อำนวยการสำนักโภชนาการ กล่าวว่า ส่วนการแพ้นมวัว หรือ โรคแพ้โปรตีนนมวัว ลักษณะอาการจะมีผื่นขึ้นบริเวณผิวหนัง ไอแห้ง คัดจมูก หอบ ริมฝีปากบวม อาเจียน หรือบางรายอาจมีอาการแพ้รุนแรงเฉียบพลัน โดยอาการจะเริ่มแสดงออกมาภายใน 1-3 ชม. โดยปกติแล้วการแพ้โปรตีนในนมจะเกิดขึ้นในช่วงอายุ 1 ขวบ และอาการจะดีขึ้นจนหายเป็นปกติเมื่อเด็กโตขึ้น
ยัน'นมวัว–นมผง' คุณค่าไม่ต่าง แนะดื่มวันละ 2–3 แก้ว เด็กไทยกระดูกแข็งแรง
เช่นเดียวกับ ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย สมาคมกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย สมาคมโภชนาการเด็กแห่งประเทศไทย สมาคมโรคภูมิแพ้ โรคหืด และวิทยาภูมิคุ้มกันแห่งประเทศไทย สมาคมกุมารเวชศาสตร์ทางเดินอาหารและตับแห่งประเทศไทย ให้คำแนะนำสำหรับประชาชน เรื่องการบริโภคนมวัว ภาวะแพ้โปรตีนนมวัว ภาวะย่อยน้ำตาลแล็กโทสบกพร่อง เมื่อวันที่ 11 พ.ย. 2568 ระบุว่า
นมเป็นอาหารสําคัญของทารกและเด็กทุกวัย เนื่องจากเป็นอาหารที่ให้พลังงาน โปรตีน แคลเซียม และ สารอาหารอื่น ๆ นมแม่เป็นอาหารที่ดีที่สุดสําหรับทารก และทารกควรได้รับนมแม่จนถึงอายุ 1-2 ปี เมื่อหย่านมแม่แล้ว เด็กควรได้รับนมวัว ร่วมกับอาหารตามวัย ปัจจุบัน มีการให้ข้อมูลที่คลาดเคลื่อนในสื่อออนไลน์และสื่อต่าง ๆ เกี่ยวกับ คุณค่าทางโภชนาการของนมวัว อาการข้างเคียงจากการดื่มนมวัวรวมทั้งการแพ้โปรตีนนมวัว ทําให้พ่อแม่ผู้ปกครองเกิด ความสับสนในการให้ลูกหลานบริโภคนมวัว ทางราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย สมาคมกุมารแพทย์แห่ง ประเทศไทย และสมาคมวิชาชีพที่เกี่ยวข้อง จึงร่วมกันจัดทําคําแนะนําเกี่ยวกับประเด็นต่าง ๆ ดังนี้
@ภาวะแพ้โปรตีนนมวัว
คือภาวะที่เกิดจากร่างกายทําปฏิกิริยาทางภูมิคุ้มกันต่อโปรตีนในนมวัว ส่วนใหญ่พบในทารกและเด็กเล็ก โดยพบ ได้ประมาณร้อยละ 2 ของเด็กที่กินนมวัว การแพ้นมวัวทําให้เกิดอาการได้หลายระบบ ได้แก่ ผื่น (เช่น ลมพิษ ผื่นภูมิแพ้ ผิวหนัง) อาการระบบทางเดินอาหาร (เช่น ท้องร่วงเรื้อรัง อุจจาระมีมูกเลือด อาเจียน ปวดท้อง) และอาการทางเดินหายใจ (เช่น ไอเรื้อรัง คัดจมูกหรือน้ํามูกเรื้อรัง หอบ) โดยที่อาการระบบทางเดินหายใจมักพบร่วมกับระบบอื่น ๆ
หากสงสัยว่าบุตรหลานแพ้โปรตีนนมวัว ควรปรึกษาแพทย์เพื่อการวินิจฉัยที่แน่นอน เนื่องจากอาการดังกล่าว ข้างต้น ไม่จําเป็นต้องเกิดจากการแพ้โปรตีนนมวัวเสมอไป และอาจเป็นอาการของโรคอื่น ๆ หรือแพ้อาหารชนิดอื่นได้ เช่นกัน แพทย์จะวินิจฉัยจากประวัติ ตรวจร่างกาย รวมทั้งให้ลองงดนมวัว หากเด็กแพ้โปรตีนนมวัวจะมีอาการดีขึ้นอย่าง ชัดเจน และอาการจะกลับเป็นซ้ําเมื่อทดลองกินนมวัวอีก แพทย์มักจะทดสอบให้กินนมวัวในช่วง 2-4 สัปดาห์หลังจาก อาการหายดี การตรวจเลือดหาภูมิคุ้มกันจําเพาะชนิดอี (specific IgE) ต่อโปรตีนนมวัว หรือทดสอบภูมิแพ้ต่อนมวัวที่ ผิวหนัง (skin prick test) อาจจะมีข้อบ่งชี้ในบางกรณี ไม่จําเป็นต้องส่งตรวจทุกราย และผลการตรวจอาจจะได้ผลลบก็ได้
การรักษา คือ การงดนมวัว และให้กินนมแม่ โดยที่แม่ควรงดนมวัวและผลิตภัณฑ์นมวัว และควรได้รับแคลเซียมเสริม หากไม่สามารถให้นมแม่ได้ ทารกต้องได้รับนมสูตรพิเศษที่ใช้รักษาภาวะแพ้โปรตีนนมวัว เช่น นมสูตรย่อยโปรตีนอย่าง สมบูรณ์ (extensively hydrolysed formula) เด็กส่วนใหญ่จะหายจากภาวะนี้ได้ภายในช่วงอายุ 3-4 ปี มีเด็กส่วนน้อยที่ยังคงแพ้ต่อเนื่องไปจนโต การวินิจฉัย และการรักษาภาวะแพ้โปรตีนนมวัว ควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ และควรมีการติดตามอาการ เป็นระยะ ๆ เพื่อประเมินว่าเด็กหายจากภาวะแพ้แล้วหรือไม่
@ภาวะย่อยน้ำตาลแล็กโทสบกพร่อง
น้ำตาลแล็กโทสเป็นส่วนประกอบหลักของคาร์โบไฮเดรตในนมแม่และนมวัว การย่อยน้ําตาลแล็กโทสบกพร่อง ทําให้เกิด อาการระบบทางเดินอาหาร เช่น ท้องอืด แน่นท้อง มีลมมากในลําไส้ ผายลมบ่อย ถ่ายเหลว ท้องร่วง ซึ่งเรียกอาการเหล่านี้ว่า การทานน้ำตาลแล็กโทสไม่ได้ (lactose intolerance) ภาวะนี้ไม่ใช่การแพ้โปรตีนนมวัว สาเหตุเกิดจากเยื่อบุลําไส้เล็กสร้าง เอนไซม์แล็กเทส (ซึ่งใช้ย่อยน้ำตาลแล็กโทส) ลดลง ซึ่งแบ่งเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่
คําชี้แจงสําหรับประชาชนเกี่ยวกับการบริโภคนมวัว ภาวะแพ้โปรตีนนมวัว ภาวะย่อยน้ำตาลแล็กโทสบกพร่อง ราชวิทยาลัย/สมาคมกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย 1.) ภาวะย่อยน้ําตาลแล็กโทสบกพร่องชั่วคราว พบตามหลังการอักเสบติดเชื้อในลําไส้เล็ก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โรคท้องร่วงจากการติดเชื้อไวรัสในทารกและเด็กเล็ก เมื่อหายจากโรคแล้ว การสร้างน้ําย่อยและการย่อยแล็กโทสจะกลับมาเป็นปกติ
2.) ภาวะย่อยน้ำตาลแล็กโทสบกพร่องตามพันธุกรรม พบในเด็กโตและผู้ใหญ่ โดยเฉพาะชาวเอเชียที่มักจะสร้าง น้ำย่อยแล็กเทสได้ลดลงเมื่อโตขึ้น โดยที่เยื่อบุลําไส้เล็กปกติ และไม่ได้เป็นโรคที่น่ากังวล เพียงแค่ลดการบริโภคน้ําตาล แล็กโทส ให้อยู่ในปริมาณที่ไม่ทําให้มีอาการ ซึ่งมีทางเลือกในการบริโภค ได้แก่ นมวัวสูตรปราศจากน้ําตาลแล็กโทส ซึ่งมี จําหน่ายทั่วไป หรือในกรณีเด็กอายุ 1 ปีขึ้นไป อาจใช้นมถั่วเหลืองหรือนมจากพืชชนิดอื่น ๆ
อย่างไรก็ตาม นมที่ผลิตโดยใช้ โปรตีนจากพืชจะมีปริมาณแคลเซียมต่ํา และมีการปรุงแต่งรส จึงควรเลือกผลิตภัณฑ์นมที่ไม่เติมน้ําตาล หรือเติมน้อยที่สุด และมีการเสริมแคลเซียม เพื่อให้เด็กได้รับแคลเซียมที่เพียงพอต่อความต้องการในการเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง การดื่มนมวัวที่ใช้นมผงมาละลายน้ํา จะได้คุณค่าทางโภชนาการเหมือนนมสดหรือไม่?
นมผง (milk powder) คือนมที่ผ่านกระบวนการทําให้แห้งเป็นผง เพื่อประโยชน์ในการเก็บรักษาได้นาน การขนส่งสะดวก และใช้เติมลงในผลิตภัณฑ์อาหารชนิดอื่น ๆ นอกจากนี้ การผลิตนมผง ยังสามารถปรับเปลี่ยนหรือเติม สารอาหารบางชนิดเพิ่มเติม เช่น วิตามิน แร่ธาตุ หรือกรดไขมันต่าง ๆ เพื่อให้มีสารอาหารเพิ่มมากขึ้น ตามวัตถุประสงค์ ของผลิตภัณฑ์นั้น ๆ และสอดคล้องกับเป้าหมายที่ต้องการนําไปใช้ เช่น นมผงดัดแปลงสําหรับทารก นมผงที่เป็นอาหาร ทางการแพทย์เพื่อใช้ในการรักษาทางด้านโภชนาการในผู้ป่วยโรคต่าง ๆ ทั้งนี้ จะมีการวิเคราะห์สารอาหารและแสดง ปริมาณสารอาหารในฉลากโภชนาการตามที่กฎหมายกําหนด เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถเลือกซื้อได้ตามความเหมาะสม
ผลการวิเคราะห์ทางโภชนาการพบว่า นมผงและนมสดมีสารอาหารหลักและคุณค่าทางโภชนาการไม่แตกต่างกัน รวมถึงโปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมัน แคลเซียม แร่ธาตุ และวิตามินต่าง ๆ อย่างไรก็ตาม ในขั้นตอนการผลิตนมผงจะผ่าน การทําให้แห้ง ซึ่งอาจทําให้วิตามินที่ไวต่อความร้อนหรือต่อการเก็บรักษา เช่น วิตามินซี โฟเลต มีปริมาณลดลงได้บ้าง แต่ปริมาณที่ลดลงเล็กน้อยไม่มีความสําคัญทางคลินิก และร่างกายจะได้รับสารอาหารดังกล่าวจากการบริโภคอาหารประเภทอื่นมากกว่า
กล่าวโดยสรุป นมผงที่ผลิตตามมาตรฐาน มีการเก็บและใช้งานอย่างถูกสุขลักษณะ รวมทั้งการละลายน้ํา ตามอัตราส่วนที่ถูกต้อง มีคุณค่าทางโภชนาการเช่นเดียวกับนมสด
การบริโภคนมวัวในอาหารประจําวันของเด็ก
ผลิตภัณฑ์นมไม่ว่าจะเป็นนมสดและนมผง เป็นแหล่งของโปรตีนที่ครบถ้วน (essential amino acids) อีกทั้งเป็น แหล่งสําคัญของแคลเซียม วิตามินบี 2 วิตามินบี 12 และฟอสฟอรัส อย่างไรก็ตาม ไม่แนะนําให้ใช้นมสดสําหรับเลี้ยง ทารกอายุต่ํากว่า 1 ปี ทารกควรได้รับนมแม่ หรือนมผงดัดแปลงสําหรับทารก นมผงดัดแปลงสูตรต่อเนื่องสําหรับทารก และเด็กเล็ก ในกรณีที่มีนมแม่ไม่เพียงพอ เพราะมีสารอาหารที่ครบถ้วนสําหรับความต้องการของทารกมากกว่านมสด
ข้อปฏิบัติการกินอาหารที่ดีเพื่อสุขภาพของเด็กไทยอายุ 1 ปีขึ้นไป ควรให้เด็กกินอาหาร 3 มื้อ และอาหารว่างที่มี คุณภาพ 2 มื้อต่อวัน โดยอาหารว่างนี้จะทําให้เด็กได้รับพลังงานและสารอาหารเพิ่มเติมเสริมจากมื้ออาหารหลักตามความ ต้องการของร่างกาย แนะนําให้เด็กดื่มนมวันละ 2-3 แก้ว โดยมักให้ดื่มในมื้ออาหารว่าง เนื่องจากนมเป็นอาหารที่มี คุณภาพ ประกอบด้วยโปรตีน พลังงาน และมีแร่ธาตุ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีแคลเซียมสูง ซึ่งช่วยให้กระดูกแข็งแรง โดยที่ แคลเซียมจากมื้ออาหารหลักเพียงอย่างเดียวมักจะไม่เพียงพอต่อความต้องการประจําวันของเด็ก

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา