
นักวิชาการ และเยาวชนนักเคลื่อนไหว ร่วมกันเปิดปมค่าตั๋วโดยสารรถไฟฟ้าไทยแพงที่สุดในโลก ชี้รัฐขาดระบบจัดการภาพรวม ไร้อำนาจกำกับราคา ปล่อยเอกชนกำหนดราคาเบ็ดเสร็จ กระทุ้งถึงเวลาบริหารสัมปทานให้ผู้บริโภคได้รับประโยชน์ค่าโดยสารอย่างเป็นธรรม
นายประภัสร์ จงสงวน อดีตผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยหรือ รฟม. กล่าวว่า แม้ปัจจุบัน รถไฟฟ้าจะเป็นระบบขนส่งมวลชน แต่ความจริงแล้วผู้ที่มีรายได้ต่ำกว่า 20,000 บาท/เดือนไม่สามารถเข้าถึงบริการได้ เพราะภาครัฐไม่ได้บริหารจัดการเชิงภาพรวมแต่คำนึงถึงแค่ผลตอบแทนที่เอกชนเสนอให้ ทำให้ทุกสัญญารถไฟฟ้ามีความแตกต่างในการกำหนดราคาค่าโดยสาร ดังนั้นถึงเวลาที่ภาครัฐควรเปลี่ยนวิธีคิดใหม่ หันมามองภาพรวมในการจัดการรถไฟฟ้าทุกๆสาย ขจัดปัญหาการเก็บค่าธรรมเนียมแรกเข้าซ้ำซ้อน และเร่งดำเนินการระบบตั๋วร่วมของระบบขนส่งมวลชน
นอกจากนี้ การบริการรถโดยสารสาธารณะจะต้องมีเป้าหมายที่ไม่ใช่แค่เรื่องรายได้อย่างเดียว เพราะการสร้างรายได้ไม่ควรมีเฉพาะจากค่าโดยสารเท่านั้น แต่สามารถหารายได้จากการพัฒนาพื้นที่โดยรอบเส้นทางรถไฟฟ้า เช่น การเก็บภาษีที่ดิน หรือ การพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์รอบสถานีเพื่อ สร้างรายได้ชดเชยค่าโดยสาร ซึ่งจะทำให้ราคาค่าโดยสารเป็นธรรมและประชาชนเข้าถึงได้ทุกคน

อดีตผู้ว่าการรฟม. ยังกล่าวถึง ปัญหาค่าโดยสารถไฟฟ้าสายสีเขียวว่าสามารถทำให้ค่าตั๋วโดยสารไม่เกิน 30 บาท/ต่อเที่ยวได้ โดยให้สำนักนโยบายและแผนการขนส่งจราจรหรือ สนข .กำหนดเงื่อนไขราคาค่าตั๋วโดยสารได้ โดยเฉพาะเรื่องรายได้ที่มาจากการโฆษณาบริเวณสถานีหรือตัวรถ ซึ่งการทำสัญญาของ กทม.ไม่เคยระบุรายได้จากส่วนนี้ไว้เลย
นอกจากนี้ สัญญาเดิมระบุว่า เอกชนต้องลงทุนเองทั้งหมด แต่ความจริงแล้วบริษัทบีทีเอสไม่ได้คิดส่วนค่าเช่าของรัฐที่ต้องจ่ายไว้เลย ดังนั้นทางออกเรื่องราคาทั้งหมดต้องเจรจาใหม่ และตรวจสอบว่า การลงทุนของบีทีเอส คุ้มทุนหรือไม่ ถ้าคุ้มทุนแล้วต้องคืนราคาค่าโดยสารให้ถูกลง ซึ่งเรื่องนี้รัฐบาลต้องชัดเจน ฉะนั้นราคา 30 บาทก็จะ เป็นไปได้ ขึ้นอยู่กับภาครัฐว่าจะเจรจาหรือไม่เท่านั้น

ด้าน ดร.ชาลี เจริญลาภนพรัตน์ อนุกรรมการด้านบริการสาธารณะ พลังงานและสิ่งแวดล้อม สภาองค์กรของผู้บริโภค กล่าวว่า สาเหตุที่ค่าโดยสารรถไฟฟ้าของไทยแพงนั้นมีถึง 3 ประการคือ ประการแรก เพราะขาดเจ้าภาพดูภาพรวมกำหนดค่าโดยสารทั้งระบบทำให้รถไฟฟ้าแต่ละสายกำหนดค่าโดยสารและค่าธรรมเนียมแรกเข้าเอง เพื่อรักษาผลประโยชน์ของตัวเองมากที่สุด
รัฐบาลไม่มีอำนาจกำหนด ราคา ตามจำนวนสถานีได้ เพราะรัฐต้องทำตามสัญญา และประการที่ สาม คือขาดการพัฒนาเชิงพาณิชย์พื้นที่รอบสถานี ซึ่งในประเทศพัฒนาแล้วจะนำรายได้จากกส่วนนี้มาเป็นรายได้ที่ทำให้ค่าโดยสารถูกลง
ดร.ชาลี ยังมองว่า การทำให้ค่าโดยสารรรถไฟฟ้าถูกลงสามารถทำได้ เพราะผลศึกษางบการเงินของรถไฟฟ้าสายสีเขียวพบว่า คาใช้จ่ายการเดินรถต่อจำนวนเที่ยว เมื่อนำรายได้ จำนวนกว่า 200 ล้านบาทมาหาค่าใช้จ่ายเดินรถพบว่า ตลอด 5 ปีที่ผ่านมาค่าโดยสารต่อเที่ยวอยู่ที่ 10-16 บาทเท่านั้น โดยไม่รวมรายได้อื่นๆ ทั้งค่าเช่าพื้นที่ ค่าต่อเชื่อมสถานี รวมถึงค่าโฆษณา ที่บีทีเอสชี้แจงไว้ที่5,000 ล้านบาท ดังนั้น ค่าโดยสาร 30 บาท หรือ 25 บาท จึงน่าจะทำได้ แต่รัฐต้องเจรจรา โดยเฉพาะในอีก 8 ปีข้างหน้าที่สัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียวจะหมดลง

ด้านนายเมธชนนท์ ประจวบลาภ ผู้แทนเยาวชน จาก รายการ Change Thailand บอกถึงประสบการณ์ในการเดินทางด้วยรถไฟฟ้า ที่ประเทศมาเลเซียว่า ราคาเริ่มต้นเพียง 8 บาทจากนั้นจะเพิ่มขึ้นสถานีละ 1 บาทเท่านั้น เหมือนประเทศรัสเซียเช่นเดียวกับที่ประเทศญี่ปุ่น สามารถเดินทางด้วยบัตรใบเดียวในราคาไม่แพง เหมือนรัสเซีย ที่มีบัตรโดยสารร่วมใบเดียว ทั้งรถไฟฟ้า รถ ราง และเรือ ใช้บริการทั้งวันจ่ายค่าโดยสารเพียง21 บาทเท่านั้น
นายเมธชนนท์ ยังบอกว่า การที่ค่าโดยสารรถไฟฟ้าในต่างประเทศไม่แพงนั้น มาจากการจัดการภาพรวม ที่รัฐบาลคำนึงถึงความคุ้มค่าและประโยชน์ของประชาชน มีหน่วยงานเดียวดูแลโครงสร้างราคา ขณะที่ประเทศไทยขาดการจัดการภาพรวม ดังนั้นภาครัฐจึงควรหาเจ้าภาพรวมมาดูแลปัญหาราคาค่าโดยสารให้กับประชาชน ทั้งใน กทม.และต่างจังหวัด
ด้านนายคงศักดิ์ ชื่นไกรลาศ เจ้าหน้าที่ฝ่ายนโยบายและยุทธศาสตร์ สภาองค์กรของผู้บริโภค เห็นว่า ปัญหาการบริหารจัดการภาพรวมของรถไฟฟ้ามีหลายอย่าง ทั้งการพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์ การบริหารตั๋วร่วมใบเดียว ซึ่งถึงเวลาแล้วที่ภาครัฐต้องนำสัญญาสัมปทานรถไฟฟ้าของทุกบริษัทมาทบทวนพิจารณาร่วมกันว่า ควรจะกำหนดค่าโดยสารร่วม ลดค่าแรกเข้า ร่วมกับการใช้ตั๋วร่วมอย่างไร เพราะจะเป็นแนวทางที่ทำให้ค่าโดยสารถูกลงได้และค่าโดยสารจะทำได้ 25 บาทแน่นอน

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา