"...จําเลยได้รับมอบเงินเหรียญจากคณะกรรมการตรวจนับเหรียญในแต่ละวันไว้ในครอบครองของจําเลย จากนั้นได้สั่งการให้ผู้มีชื่อทําการบันทึกข้อมูลจํานวนรายได้ของศูนย์บริการโทรศัพท์สาธารณะอุดรธานี เข้าระบบ PTM และแก้ไขจํานวนเงินที่บันทึกในเอกสารนําเงินเข้าออกในห้องมั่นคงเป็นจํานวนเงินที่ถูกต้อง โดยนําเข้าระบบ PTM เพียงบางส่วนแล้ว ยักยอกเอาเงินเหรียญส่วนต่างที่อยู่ในความครอบครองของจําเลยไปโดยทุจริต รวม 364 ครั้ง รวมเงินที่จําเลยยักยอกไป 2,810,912 บาท..."
......................................
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานไปแล้วว่า เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2564 ศาลอุทธรณ์ มีคำพิพากษาให้ลงโทษ นายสุรัตน์ ปรีชาวัฒนชัย กระทงละ 5 ปี รวมจำคุก 1,820 ปี เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้วให้จำคุก 50 ปี และคืนเงิน 2,359,515 บาท
ในคดีกล่าวหา นายสุรัตน์ ปรีชาวัฒนชัย เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้จัดการศูนย์บริการโทรศัพท์สาธารณะอุดรธานี บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) แก้ไขข้อมูลการตรวจนับเหรียญแล้ว ยักยอกส่วนต่างไปเป็นประโยชน์ส่วนตน ซึ่งถูกคณะกรรมการ ป.ป.ช. ลงมติชี้มูลความผิดทางอาญา ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 มาตรา 4 และมาตรา 11 ประกอบ ป.อ.มาตรา 90 และ 91 ตั้งแต่เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2559
ต่อไปนี้ คือ พฤติการณ์การกระทำความผิดของ นายสุรัตน์ ปรีชาวัฒนชัย ที่ปรากฏอยู่ในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีนี้
ขณะเกิดเหตุ นายสุรัตน์ ปรีชาวัฒนชัย ในฐานะ จําเลย ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นประธานคณะกรรมการเพื่อดําเนินงานโทรศัพท์สาธารณะ มีอํานาจหน้าที่จัดเก็บรักษา และควบคุมเหรียญคงค้าง ทั้งเหรียญดี และเหรียญชํารุด ที่ยังไม่ได้แลกค่าไว้ในห้องมั่นคงให้ปลอดภัย จัดทํารายงานเหรียญคงค้างประจําวันและประจําเดือน จัดเก็บรักษา และควบคุมกุญแจ ซีลกล่องเหรียญโทรศัพท์สาธารณะให้มีสภาพพร้อมใช้งานและเก็บไว้ในที่ปลอดภัยมอบกุญแจและกล่องเหรียญที่ติดซีลเรียบร้อยแล้วให้พนักงานออกดําเนินการจัดเก็บเหรียญตามตารางไขกล่องเหรียญโทรศัพท์สาธารณะ จัดทําข้อมูลและรายงานการจัดเก็บเหรียญโทรศัพท์สาธารณะ
โดยมีหน้าที่นําข้อมูลการตรวจนับเหรียญบันทึกเข้าโปรแกรม PTM (Public Telephone Management) อัพเดท ฐานข้อมูลเลขหมายในโปรแกรม PTM และจัดทํารายงานการนับเหรียญเพื่อบันทึก เข้าระบบ SAP/R3 รับรู้รายได้
ระหว่างวันที่ 2 มกราคม 2551 ถึงวันที่ 25 พฤษภาคม 2552 เวลากลางวัน จําเลยซึ่งเป็นพนักงานของผู้เสียหาย (บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน)) มีหน้าที่จัดการและรักษาทรัพย์ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและโดยทุจริตเบียดบังเอาทรัพย์ไปเป็นของตนเองหรือผู้อื่นก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหายหลายกรรมต่างกัน
@ ยักยอกเงินเหรียญ 364 ครั้ง 2.8 ล้าน
กล่าวคือ จําเลยได้รับมอบเงินเหรียญจากคณะกรรมการตรวจนับเหรียญในแต่ละวันไว้ในครอบครองของจําเลย จากนั้นได้สั่งการให้ผู้มีชื่อทําการบันทึกข้อมูลจํานวนรายได้ของศูนย์บริการโทรศัพท์สาธารณะอุดรธานี เข้าระบบ PTM และแก้ไขจํานวนเงินที่บันทึกในเอกสารนําเงินเข้าออกในห้องมั่นคงเป็นจํานวนเงินที่ถูกต้อง
โดยนําเข้าระบบ PTM เพียงบางส่วนแล้ว ยักยอกเอาเงินเหรียญส่วนต่างที่อยู่ในความครอบครองของจําเลยไปโดยทุจริต รวม 364 ครั้ง รวมเงินที่จําเลยยักยอกไป 2,810,912 บาท
จากคำเบิกความของ นาย ส. ซึ่งขณะเกิดเหตุดํารงตําแหน่งผู้จัดการส่วนบริการลูกค้าจังหวัดอุดรธานี ระบุว่า เกี่ยวกับเรื่องนี้บริษัทผู้เสียหายได้มีการตั้งกรรมการขึ้นมาตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณี นาย ม. ผู้จัดการศูนย์บริการโทรศัพท์สาธารณะอุดรธานี ตรวจสอบการจัดเก็บรายได้โทรศัพท์สาธารณะช่วงเดือนมิถุนายน 2552 ย้อนหลังไปถึงเดือนมกราคม 2551 พบว่ามีรายได้ต่ำกว่ามิเตอร์จํานวน 29 เลขหมาย
@ ว่าจ้างบุคคลภายนอกมาบันทึกข้อมูล
ผลการตรวจสอบพบว่า จําเลย ได้ว่าจ้างบุคคลภายนอกแล้วสั่งการให้ทําหน้าที่บันทึก แก้ไขข้อมูลรายการรายได้ที่บันทึก แต่ไม่มีการจัดเก็บเอกสารในการไขเหรียญจากข้อมูลจํานวนเงินที่ปรากฏในเอกสารนําเงินเข้าออกห้องมั่นคงของคณะกรรมการนับเหรียญ
ระหว่างเดือนมกราคม 2551 ถึงเดือนพฤษภาคม 2552 พบว่ามีการแก้ไขจํานวนเงินในระบบ PTM ให้ต่ำกว่าจํานวนเงินที่ตรวจนับได้ในแต่ละวันประมาณ 300 ครั้ง จํานวนเงินขาดหายไปประมาณ 5 ล้านบาทเศษ
@ สอบวินัยร้ายแรงลงโทษไล่ออก
คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ตรวจสอบแล้วเชื่อว่า จําเลย ซึ่งเป็นผู้มีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงเป็นผู้แก้ไขข้อมูล จํานวนเงินในระบบ PTM ให้ต่ำกว่าจํานวนเงินที่ตรวจนับได้ในแต่ละวัน
คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงเห็นควรให้ตั้งกรรมการสอบวินัยร้ายแรงแก่จําเลย ผลปรากฏว่าคณะกรรมการสอบวินัยมีมติลงโทษจําเลยให้ไล่ออก
นาย ม. ผู้จัดการศูนย์บริการโทรศัพท์สาธารณะอุดรธานี ยังเบิกความว่า มารับตําแหน่งต่อจากจําเลย จากการตรวจสอบข้อมูลบันทึกค่ารายได้ในระบบ PTM พบว่ามีรายได้น้อยกว่าค่ามิเตอร์โทรศัพท์สาธารณะในแต่ละเลขหมาย จึงตรวจสอบเอกสารแบบรายการนับเหรียญโดยขอข้อมูลจากจําเลย
แต่จําเลยแจ้งว่าไม่มีเอกสาร
จึงเข้าตรวจสอบข้อมูลในระบบ PTM พบเอกสารจํานวนหนึ่งที่มีอยู่ก่อนแล้ว จึงได้นํามาเปรียบเทียบข้อมูลที่บันทึกเข้าระบบ PTM พบว่ามีการแก้ไขข้อมูลตัวเลขจํานวนเงินในการบันทึกค่ารายได้การนับเหรียญต่ำกว่าจํานวนเงินที่ปรากฏในเอกสารใบนำเงินเข้าออกห้องมั่นคง และไม่มีการบันทึกค่าการนับเหรียญจากการไขกล่องเหรียญอีกหลายเลขหมายโทรศัพท์
โดยทราบว่าจําเลยได้ว่าจ้าง นางสาว พ. กับ นางสาว ว. ให้มาช่วยบันทึกข้อมูลการนับค่าลงในระบบ PTM โดยการว่าจ้างบุคคลทั้งสองเป็นการส่วนตัว และบุคคลทั้งสองไม่ได้เป็นพนักงานของผู้เสียหาย บุคคลทั้งสองใช้รหัสผ่านของจําเลยในการบันทึกค่านับเหรียญเข้าโปรแกรม PTM แต่จําเลยก็ยังคงใช้รหัสผ่านของตนเองในการแก้ไขข้อมูลหรือยืนยันข้อมูลในขั้นตอนสุดท้าย
@ คำวินิจฉัยของศาล
ศาลฯ เห็นว่า การเบิกความสอดคล้องต้องกันเป็นลําดับอย่างมีเหตุผล อีกทั้งยังสอดคล้องกับคําให้การที่พยานแต่ละปากให้การไว้ต่อพนักงานสอบสวนและให้การต่อคณะกรรมการสอบสวนในชั้นไต่สวนของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ซึ่งพยานโจทก์ทุกปากเบิกความรับรองว่า ได้ให้การไว้ในชั้นสอบสวนและในชั้นไต่สวนดังกล่าว
โดยยืนยันว่า คําให้การในชั้นสอบสวนและในชั้นไต่สวนถูกต้องตามความเป็นจริง แม้คําให้การของพยานในชั้นสอบสวนและคําให้การในชั้นไต่สวนจะมีลักษณะเป็นพยานบอกเล่า แต่เมื่อมีการจัดทําขึ้นตามลําดับขั้นตอนของเหตุการณ์และจัดทําโดยเจ้าพนักงานที่มีอํานาจหน้าที่ตามกฎหมาย
ดังนั้น ตามสภาพ ลักษณะ แหล่งที่มาและข้อเท็จจริงแวดล้อมของพยานบอกเล่าดังกล่าว น่าเชื่อว่าจะพิสูจน์ความจริงได้สนับสนุนให้เชื่อได้ว่าพยานโจทก์เบิกความไปตามความจริงที่ตนประสบพบมามิได้มุ่งให้ร้ายจําเลย
ดังที่จําเลยยกขึ้นต่อสู้ไว้ในคำแก้อุทธรณ์แต่อย่างไร
ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ตามที่โจทก์ไต่สวนว่า ระหว่างเดือนมกราคม 2551 ถึงเดือนพฤษภาคม 2552 ขณะที่จําเลยปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้จัดการศูนย์บริการโทรศัพท์สาธารณะอุดรธานีส่วนลูกค้าจังหวัดอุดรธานี บริษัท ทีโอที จํากัด (มหาชน) จําเลยใช้อํานาจหน้าที่ในฐานะประธานคณะกรรมการควบคุมเหรียญคงค้างและจัดทําข้อมูลการตรวจนับเหรียญ บันทึกเข้าโปรแกรม PTM ได้สั่งการให้นางสาว ว. และนางสาว พ. ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกและไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้องเข้ามาแก้ไขบันทึกข้อมูลจํานวนรายได้ในระบบ PTM ให้ต่ำกว่าจํานวนเงินที่บันทึกในเอกสารนําเงินเข้าออกในห้องมั่นคงเมื่อพิจารณาประกอบกับเอกสารเปรียบเทียบใบนําส่งเงินเข้าออกห้องมั่นคงและเอกสารบันทึกรายได้เข้าระบบ PTM ในแต่ละเดือน ปรากฏหลักฐานว่า จํานวนเงินที่ระบุในเอกสารนําเงินเข้า ออกห้องมั่นคงไม่ตรงกับจํานวนเหรียญที่กรรมการตรวจนับได้และที่บันทึกข้อมูลเข้าระบบ PTM ทําให้เงินรายได้จากโทรศัพท์สาธารณะของผู้เสียหายในแต่ละวัน ที่จําเลยรับไว้หายไปบางส่วน
ทั้งนี้ จําเลยซึ่งเป็นผู้มีอํานาจหน้าที่โดยตรงในการควบคุมเหรียญคงค้างตลอดจนควบคุมการบันทึกข้อมูลการตรวจนับเข้าโปรแกรม PTA จะต้องมีส่วนรู้เห็นรับผิดชอบในการบันทึกข้อมูลการตรวจนับเหรียญในแต่ละวันก่อนที่จะเก็บรวบรวมเข้าห้องมั่นคงเพื่อนําไปแลกค่าเป็นรายได้
พฤติการณ์ดังวินิจฉัยมาข้างต้นบ่งชี้ว่า จําเลยเป็นผู้ดําเนินการหรือสั่งการให้มีการแก้ไขข้อมูลในเอกสารการนับเหรียญให้ต่ำกว่าที่คณะกรรมการตรวจนับได้และที่บันทึกในเอกสารนำเงินเข้าออกห้องมั่นคง วัตถุประสงค์เพื่อที่จะเบียดบังเอาเงินส่วนต่างที่เป็นรายได้จากโทรศัพท์สาธารณะในแต่ละเลขหมายดังจะเห็นได้จากในการบันทึกค่ารายใต้การนับเหรียญนั้น
จําเลยยังใช้ระบบเดิมที่มีคนควบคุมการนับเหรียญบันทึกเข้าโปรแกรม PTM ซึ่งเป็นวิธีธรรมดาด้วยการว่าจ้างบุคคลภายนอกซึ่งไม่ใช่พนักงานของผู้เสียหายมาเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่บันทึกข้อมูลแทนที่จะใช้วิธีนําเครื่องนับเหรียญอัติโนมัติเชื่อมต่อเข้ากับโปรแกรม PTM โดยตรงตามที่ระเบียบกําหนดไว้
แสดงให้เห็นว่าการว่าจ้างบุคคลภายนอกมาทําหน้าที่ดังกล่าวก็เพื่อความสะดวกในการแก้ไขข้อมูลในเอกสารตรวจนับเหรียญและเพื่อใช้โอกาสเบียดบังเอาเงินส่วนต่างได้ง่ายขึ้นนั่นเอง
แม้จําเลยจะเบิกความอ้างว่าเครื่องนับเหรียญแบบอัตโนมัติเป็น ระบบใหม่ ผู้ปฏิบัติไม่ชํานาญและมีเหตุขัดข้องในการใช้บ่อยครั้ง ก็เป็นข้อกล่าวอ้าง ที่ไม่สมเหตุสมผล แต่กลับน่าเชื่อว่าเป็นเพียงข้ออ้างที่จะอาศัยโอกาสในความไม่คุ้นชินกับระบบเข้าไปแก้ไขข้อมูลในระบบตามความต้องการของจําเลยนั่นเอง
พยานหลักฐานที่โจทก์นําสืบมารับฟังได้ว่า จําเลยได้ทําการแก้ไขหรือสั่งการให้บุคคลอื่นแก้ไขบันทึกค่านับเหรียญในระบบ PTM ให้ต่ำกว่าจํานวนเงินที่คณะกรรมการตรวจนับเหรียญตรวจนับได้ แล้วเบียดบังเอาเงินส่วนต่างที่เป็นรายได้จากโทรศัพท์สาธารณะของผู้เสียหายแต่ละเลขหมายในแต่ละวันรวม 364 ครั้งตามฟ้อง
เมื่อขณะเกิดเหตุจําเลยได้รับแต่งตั้งให้เป็นประธานคณะกรรมการควบคุมเหรียญคงค้าง มีหน้าที่จัดเก็บรักษาและควบคุมเหรียญคงค้าง จัดทําข้อมูลตรวจนับเหรียญและบันทึกข้อมูลเข้าในระบบ จําเลยจึงเป็นพนักงานมีหน้าที่ทํา จัดการ และรักษาทรัพย์ เบียดบัง เอาทรัพย์ของผู้เสียหายเป็นของตนเองหรือผู้อื่นโดยทุจริต และปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหาย หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต
จําเลยจึงมีความผิดตามที่โจทก์ฟ้องและเป็นการกระทําละเมิดต่อผู้เสียหาย จําเลยจึงต้องรับผิดนําเงินที่เบียดบังไปดังกล่าวคืนแก่ผู้เสียหาย
พิพากษาแก้จากคำพิพากษาศาลชั้นต้น ที่ให้ยกฟ้อง แต่ให้จำเลยคืนเงินจำนวน 2,359,515 บาท เป็นว่า จําเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 มาตรา 4, 11 การกระทําของจําเลยเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบทให้ลงโทษฐานเป็นพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทํา จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือเป็นของผู้อื่นโดยทุจริต ซึ่งเป็นกฎหมายบท ที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จําเลยกระทําผิด 364 กระทง ให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91
จําคุกกระทงละ 5 ปี รวมจําคุก 1,820 ปี
กรณีความผิดกระทั่งหนักที่สุดมีอัตราโทษจําคุกอย่างสูงเกินสิบปี เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้วให้จําคุก 50 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (3) นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น คือ ให้จำเลยคืนเงินจำนวน 2,359,515 บาท ด้วย
อย่างไรก็ดี คดีนี้ยังไม่สิ้นสุด จำเลย มีสิทธิต่อสู้คดีเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ในชั้นศาลที่สูงกว่านี้อีกได้
แต่ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร คดีนี้ก็นับเป็นกรณีศึกษาสำคัญอีกเรื่องหนึ่ง ของ เหล่าผู้บริหารพนักงาน บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) ทั่วประเทศ ไม่ให้กระทำผิดซ้ำรอย เอาเป็นเยี่ยงอย่างทั้งในปัจจุบัน และอนาคต สืบไป
อ่านข่าวในหมวดเดียวกัน
- ศาลอุทธรณ์ สั่งจำคุก 1,820 ปี ติดจริง 50 อดีต ผจก.ศูนย์บริการโทรศัพท์สาธารณะอุดรฯ
- ศาลอุทธรณ์แก้โทษ จำคุก อดีตผู้ว่าลำปาง คดีละเว้นฯ อ่างเก็บน้ำ เหลือ 3 ปี ปรับ 3 หมื่น
- ศาลทุจริตฯ สั่งจำคุก 1 ปี อดีตนายกเทศมนตรีเชียงกลม เลย จ้างออกแบบอ่างเก็บน้ำ
- ศาลทุจริตฯ สั่งจำคุก 20 ปี อดีตนายก อบต.นายางกลัก ชัยภูมิ แบ่งซื้อจ้างโครงการฯ
- ศาลคดีทุจริตฯ สั่งจำคุก 28 ปี อดีตนายกเทศมนตรีเมืองพังงา จ้างวิธีพิเศษมิชอบเอื้อเอกชน
- ศาลอุทธรณ์ ยืนโทษจำคุก อดีตนายกฯ เมืองนาสาร สุราษฎร์-พวก คนละ 1ปี ไม่รอลงอาญา
- ศาลอุทธรณ์ ยืนโทษคุก 5 ปี อดีตผอ.รร.กันทรลักษ์ฯ ศรีสะเกษ ทุจริตค่าตอบแทนทำงานพิเศษ น.ศ.
- คดีที่ 3 อดีตนายกฯ ป่าไผ่ เชียงใหม่ โดนคุกอีก 4 ปี 6 ด. เรียกรับเงินเอกชน
- ศาลคดีทุจริตฯ สั่งจำคุก 2 ปี 6 ด. อดีตนายก อบต.บางรักใหญ่ -พวก เบิกจ่ายเงินดูงานเท็จ
- ศาลคดีทุจริตฯ สั่งจำคุก 5 ปี อดีตนายก อบต.หนองจะบก โคราช - พวก แก้ใบเสนอราคาผู้รับเหมา
- ศาลคดีทุจริตฯ สั่งจำคุก 16 ปี 48 ด. อดีตพนง.ออมสิน ชัยภูมิ ทุจริตขอกู้สินเชื่อ
- ศาลอุทธรณ์ ยืนโทษคุก 5 ปี อดีต หน.นโยบายฯ สพป.สงขลา เขต 3 ทุจริตจัดซื้อคอมฯ
กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage