"...ในขณะนี้บางอำเภอรายงานมาว่า ไปตรวจเจอ บ่อที่ดูดไม่มีเจ้าของ ก็ได้สั่งการให้ยึดเครื่องจักรเลย ซึ่งในตอนนี้เริ่มมีการทยอยรายงานมาแล้ว ส่วนในเบื้องลึกว่าใครอยู่เบื้องหลัง มันต้องมีหลักฐาน ต้องจับให้ได้ และต้องสาวไปถึงเจ้าของอีกที และในส่วนที่ว่ามีนายตำรวจ ผู้นำท้องถิ่น ข้าราชการ อยู่เบื้องหลัง เรื่องนี้นี่แหละที่ทางนายอำเภอในพื้นที่ต้องไปสืบเสาะหาข่าวมา และต้องรายงานกลับมาภายใน 7 วันนี้ และหลังจากตรวจสอบเสร็จสิ้นจะมีการล่องเรือตรวจสอบทั้งหมด..."
แม่น้ำตรังเป็นแหล่งที่มีทรายมากที่สุดแห่งหนึ่งในภาคใต้
โดยมีการขนส่งทรายไปขายถึง จ.ภูเก็ต และจังหวัดข้างเคียง เนื่องจากแม่น้ำมีระยะทางค่อนข้างยาว เกือบ 100 กิโลเมตร ทำให้มีการสะสมของทรายเป็นจำนวนมาก รวมทั้งเทือกเขาบรรทัดต้นกำเนิดเป็นภูเขาหินทราย ทำให้มีการไหลชะล้างทรายเหล่านั้นลงสู่แม่น้ำตรัง ซึ่งเป็นทรัพยากรธรรมชาติที่มีคุณค่า
แต่มีคนหลายกลุ่มต่างเข้าไปหาผลประโยชน์ ลักลอบดูดทราย โดยการทำธุรกิจเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติ เป็นธุรกิจที่ไม่ต้องลงทุนมากมาย
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาทาง สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ( ป.ป.ช.ตรัง) ได้มีมาตรการลงพื้นที่ตรวจสอบบ่อทรายต่าง ๆ พร้อมกำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการลงตรวจสอบในเรื่องนี้อย่างจริงจัง จนกระทั่งมีการตรวจพบบ่อทรายที่ขอใบอนุญาตถูกต้องตามกฏหมาย
แต่มีการแอบลักลอบนอกเขตพิกัด และบางส่วนเป็นบ่อทรายเถื่อน ซึ่งมีนายตำรวจ ผู้นำชุมชน เจ้าหน้าที่รัฐ และผู้ใกล้ชิดกับนักการเมืองระดับชาติเป็นเจ้าของ
เกี่ยวกับประเด็นเรื่องการลักลอบดูทรายเถื่อนดังกล่าว ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) ได้ตรวจสอบสภาพแม่น้ำจังหวัดตรังจากภาพถ่ายทางอากาศในเว็บไซต์กรมที่ดิน พบว่า มีบ่อทรายกว่า 50 บ่อ มีทั้งบ่อที่ได้รับอนุญาต และบ่อเถื่อนที่ไม่มีใบอนุญาตกระจายอยู่ภายในแม่น้ำตรัง ลัดเลาะไปตามพื้นที่ป่า สวนยางพารา และปาล์มน้ำมัน ตามข้อมูลที่ได้รับจากเจ้าหน้าที่ ซึ่งจากภาพที่เห็นพบว่า ผืนดินรอบบ่อดูดทรายหลายจุด มีการเว้าแหว่งของผืนดินจำนวนมาก
เจ้าหน้าที่หน่วยงานรัฐรายหนึ่ง ให้ข้อมูลว่า การเว้าแหว่งของผืนดินจำนวนมาก สาเหตุเกิดจากการดูดทรายในบริเวณโค้งน้ำ ซึ่งผิดข้อระเบียบกฎหมาย ที่ห้ามดูดบริเวณโค้งน้ำโดยเด็ดขาด เนื่องจากจะทำให้ตลิ่งคันดินทรุดตัวและพังลงมา และทำให้กระแสน้ำเปลี่ยนทิศทางอย่างแน่นอน 100 เปอร์เซ็นต์ และในบางจุดจากอดีตลำคลองมีความกว้างเพียงแค่ 100 เมตร แต่เมื่อมีการดูดทรายบริเวณโค้งน้ำ กลับกลายเป็นว่าน้ำเปลี่ยนทิศทางทำให้ลำคลองกว้างขึ้นเป็นประมาณ 300 เมตร บางแห่งตลิ่งได้พังทลายลงจนกลายเป็นเนื้อเดียวกับแม่น้ำ และในบางแห่งส่งผลทำให้สวนยางพารา สวนปาล์มน้ำมันของชาวบ้าน ได้รับผลกระทบตามไปด้วย เนื่องจากกระแสน้ำที่เปลี่ยนทิศทาง ไปกัดเซาะพื้นดินของชาวบ้าน ต้นยางพารา และต้นปาล์มน้ำมันจำนวนหลายต้น ในแต่ละพื้นที่จะล้มลงไปอยู่ในแม่น้ำ
" เหตุผลที่ผู้ประกอบการต้องการดูดบริเวณโค้งน้ำ เพราะว่าบริเวณดังกล่าวนั้นมีทรายสะสมอยู่เป็นปริมาณมาก ถึงแม้จะขัดกับระเบียบข้อกฎหมายก็ตาม และจากภาพถ่ายพบว่ามีการดำเนินการดูดทรายมาเป็นระยะเวลานาน ทรัพยากรธรรมาชาติเสียหายอย่างหนัก ซึ่งเป็นไปไม่ได้ว่า ผู้นำชุมชน และข้าราชการ จะไม่ทราบเรื่อง หรือปล่อยปละละเลย เพียงแค่ปิดหูปิดตาทำมองไม่เห็น" เจ้าหน้าที่รายนี้ระบุ
ดังเช่นปรากฏให้เห็นในภาพ
ขณะที่หนึ่งในผู้ที่เคยดำเนินกิจการดูดทรายเถื่อนในพื้นที่ ต.นาวง อ.ห้วยยอด จ.ตรัง ให้ข้อมูลกับสำนักข่าวอิศราว่า ตนเองดำเนินกิจการดูดทรายภายในลำคลอง มากว่า 20 ปี ในช่วงแรกเคยวิ่งขอใบอนุญาตเพื่อดำเนินกิจการใช้เวลากว่า 1 ปี 8 เดือน เฉพาะกรมป่าไม้ใช้เวลาวิ่งขอกว่า 6 เดือน โดยมีอธิบดีกรมป่าไม้เป็นผู้เซ็นใบอนุญาต (ขณะนั้น) ซึ่งหากไม่ได้ใบอนุญาตจากกรมป่าไม้ และหน่วยงานหลักต่างๆ เช่น อุตสาหกรรมจังหวัด เจ้าท่าส่วนภูมิภาค ผังเมือง และที่ดินจังหวัด ก็ไม่สามารถขอใบอนุญาตประกอบการอนุญาตให้ดูดทรายตามมาตรา 9 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2556 ” โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้เซ็น แต่หากพื้นที่นั้นๆที่เสนอขอใบอนุญาตไม่ผ่านระเบียบข้อกฏหมาย ทางหน่วยงานก็ไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้ โดยในช่วงแรกตนก็ขอใบอนุญาตได้ดำเนินกิจการ แต่ในช่วงหลังยอมรับว่าทำแบบเถื่อน หลังจากใบอนุญาตขาดอายุไป และได้หยุดกิจการไปแล้วชั่วคราวขณะนี้
@ การจ่ายส่วยมีจริงหรือไม่?
ต่อประเด็นข้อสังเกตเรื่องการจ่ายส่วย แหล่งข่าวระบุว่า "มีจริง"
"โดยหน่วยงานแต่ละหน่วยงานต่างมีระเบียบข้อกฎหมายในการขอ เช่นต้องไม่อยู่ในเขตหวงห้าม ต้องเป็นลำคลองที่ตรง ไม่อยู่ในบริเวณโค้งน้ำ ต้องห่างจากถนนของกรมทางหลวง 500 เมตรต้องไม่อยู่ติดกับวัด โรงเรียน สถานที่โบราณสถาน สะพาน ฯลฯ เมื่อหน่วยงานต่างๆตรวจสอบแล้วว่าที่นั้นๆติดในระเบียบ จึงไม่สามารถขอใบอนุญาตได้ ทำให้เป็นสาเหตุให้ผู้ประกอบการต้องทำเถื่อน โดยที่ไม่ขอใบอนุญาต เพราะถ้าขอใบอนุญาตไปก็ไม่สามารถขอได้"
"ทำให้เหล่าผู้ประกอบการก็ต้องวิ่งเคลียร์กับผู้นำท้องถิ่น เช่น นายอำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน นายกอบต. เพื่อให้เปิดทางและช่วยเหลือดูแลให้ หากหน่วยงานใดเข้ามาก็จะต้องจ่ายส่วยให้ จนกลับกลายเป็นการทำเถื่อนไปโดยอัตโนมัติ หากจะเอาตามระเบียบข้อกฏหมายจริงๆ สถานที่ในจังหวัดตรังบ้านเรา ไม่มีที่สามารถให้ดูดที่สอดคล้องกับระเบียบข้อกฎหมายเลย หรือมีก็น้อยมาก เมื่อติดในเงื่อนไข ผู้ประกอบการก็เลยจำเป็นต้องทำเถื่อน ก็เป็นการเปิดโอกาสให้เจ้าหน้าที่รัฐนอกรีด เข้ามาเก็บส่วย และในบางส่วนเป็นหน่วยงานรัฐมาจากต่างจังหวัดก็มี และในส่วนของทางอำเภอเคยบอกไว้ว่าหากจะทำก็ทำ แต่อย่าให้มีการร้องเรียน หากมีการร้องเรียนเข้ามา ทางอำเภอ และจังหวัดก็จะลงเข้ามาตรวจสอบ ทำผู้ประกอบการต้องจ่ายให้เงินให้กับ เหล่าเจ้าหน้าที่รัฐ ผู้นำชุมชนในพื้นที่ เพื่อเป็นสินน้ำใจ และยังต้องจ่ายส่วยให้กับเจ้าหน้าที่รัฐบางกลุ่ม หลายหน่วยงานที่ต่างเข้ามาเก็บส่วยบ่อยครั้ง โดยมีทั้งรายปี และรายเดือน ซึ่งหากเป็นการเปิดบ่อใหม่จะต้องจ่ายครั้งแรก 10,000 บาท และเดือนละ 5,000 บาท"
"ส่วนการที่ผมได้หยุดทำลงไปเพราะแบกรับในเรื่องนี้ไม่ไหว ล่าสุดที่ได้หยุดไป เพราะมีเจ้าหน้าที่อ้างว่าเป็นตำรวจจากระดับภาคใต้เข้ามาเรียกรับเงิน แต่ผมไม่จ่าย ก่อนจะยอมยุติกิจการ"
@ ผู้ว่าฯ ตรัง เข้มตรวจสอบ -ยึดเครื่องจักร
ด้านนายขจรศักดิ์ เจริญโสภา ผู้ว่าราชการ จ.ตรัง ให้สัมภาษณ์สำนักข่าวอิศราว่า การดูดทรายภายในลำคลองที่ขออนุญาตถูกต้องตามกฎหมาย มีเพียง 2 เจ้า ส่วนที่ดูดในที่กรมสิทธิ์ ที่ขอใบอนุญาตจากอุตสาหกรรม จ.ตรัง มี 16 เจ้า นอกเหนือจากนี้แสดงว่าเถื่อน ซึ่งในส่วนที่ดูดในแม่น้ำ อุตสาหกรรมแจ้งว่าใบอนุญาตดังกล่าว ไม่มีหมดอายุ แต่ต้องเข้าไปตรวจสอบ และต้องวางแนวให้ชัดเจนว่าขอบเขตที่ดูดอยู่ตรงไหน หากมีการฝ่าฝืน 1.ก็จะตักเตือน เพื่อปรับปรุง แก้ไข ส่วนหากบ่อไหนทำให้ทรัพยากรธรรมชาติเสียหาย หน่วยงานไหนที่รับผิดชอบ เช่นหากอยู่ในเขตป่าไม้ ป่าไม้ฟ้อง อยู่ในเขตกรมเจ้าท่า เจ้าท่าฟ้อง และเรียกค่าเสียหายทางแพ่ง อุตสาหกรรมไม่มีหน้าที่ เพียงแค่ออกใบอนุญาตและตรวจสอบ จึงได้สั่งการให้หน่วยงานที่รับผิดชอบตรวจสอบภายใน 7 วัน และรายงานกลับมา
@ ขจรศักดิ์ เจริญโสภา ผู้ว่าราชการ จ.ตรัง
นายขจรศักดิ์ กล่าวอีกว่า"ในขณะนี้บางอำเภอรายงานว่ามา ไปตรวจเจอ บ่อที่ดูดไม่มีเจ้าของ ก็ได้สั่งการให้ยึดเครื่องจักรเลย ซึ่งในตอนนี้เริ่มมีการทยอยรายงานมาแล้ว ส่วนในเบื้องลึกว่าใครอยู่เบื้องหลัง มันต้องมีหลักฐาน ต้องจับให้ได้ และต้องสาวไปถึงเจ้าของอีกที และในส่วนที่ว่ามีนายตำรวจ ผู้นำท้องถิ่น ข้าราชการ อยู่เบื้องหลัง เรื่องนี้นี่แหละที่ทางนายอำเภอในพื้นที่ต้องไปสืบเสาะหาข่าวมา และต้องรายงานกลับมาภายใน 7 วันนี้ และหลังจากตรวจสอบเสร็จสิ้นจะมีการล่องเรือตรวจสอบทั้งหมด"
อย่างไรก็ตาม หลังจากเรื่องราวเหล่านี้ถูกเปิดเผยขึ้นจากสื่อมวลชนออกไปเป็นวงกว้าง
แหล่งข่าวระดับสูงภายในจังหวัด ให้ข้อมูลสำนักข่าวอิศราว่า "ทางผู้ประกอบการที่ดูดทรายเถื่อน ต่างพยายามวิ่งเต้นเพื่อขอผ่อนปรน หรือประวิงเวลา เพื่อขอใบอนุญาตให้ถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งเป็นไปได้ยากมากหากยึดตามระเบียบข้อกฎหมาย นายขจรศักดิ์ เจริญโสภา ผู้ว่าราชการจังหวัดตรัง จำเป็นต้องเข้มแข็ง ลงทำงานด้วยตัวเอง และต้องทำอย่างจริงจัง ในฐานะเป็นพ่อเมือง เนื่องจากที่ผ่านมาข้าราชการส่วนใหญ่ปล่อยปละละเลย”
กรณีนี้ จึงอาจนับเป็นบทพิสูจน์ครั้งสำคัญ ในการป้องกันปราบปรามปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน ตามหลักธรรมภิบาล ของ ผู้ว่าราชการจังหวัดตรัง ในฐานะพ่อเมือง ว่า จะเข้มแข็งจริงจังได้มากน้อยเพียงใด
ผลออกมาเป็นอย่างไร คงต้องติดตามดูกันต่อไป
อ่านประกอบ:
- สั่ง นอภ.ตรวจ 10 บ่อ! ผู้ว่าฯตรังจี้แจ้งผลใน 7 วัน หลังเจอข่าวนักการเมือง,ตำรวจลอบดูดทราย
- นักการเมืองดังลอบดูดทราย! เจ้าท่าตรังร้อง สภ.ห้วยยอดเร่งสอบ พบนายตำรวจร่วมขบวนการด้วย